พาราสาวะถี
วันนี้ยังระหองระแหงมองตาไม่รู้ใจกันเหมือนเดิม สิ่งนี้ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร การหวงอำนาจและช่วงชิงการนำเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเองใช่หรือไม่
มันน่าตลกที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช บอกคนที่มารอต้อนรับอยากเห็นคนไทยรักกัน พร้อมแนะนำให้ฟังเพลงชาติและสามัคคีชุมนุมให้ลึกซึ้ง มันจะเป็นไปได้อย่างไร กับคนทั้งประเทศที่จะให้คิดและคล้อยตามกันในทุกเรื่อง ขนาดแก๊ง 3 ป.ที่ยืนยันกันหนักแน่นว่าจะรักกันจนวันตาย วันนี้ยังระหองระแหงมองตาไม่รู้ใจกันเหมือนเดิม สิ่งนี้ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร การหวงอำนาจและช่วงชิงการนำเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเองใช่หรือไม่
ผลพวงจากการปลดสองรัฐมนตรีที่สะเทือนไปถึงการแยกกันเดินด้วยการอยู่คนละพรรค ระหว่างพี่ใหญ่กับน้อง 2 ป. เพิ่งไม่กี่วันที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ที่ปรากฏข่าวพรรคสืบทอดอำนาจยังคงจะเสนอชื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อไป และเจ้าตัวก็ประกาศว่าจะขอเป็นผู้นำประเทศอีกสมัย ด้วยปัจจัย กลไกของการวางแผนเพื่อการอยู่ยาวไว้แล้ว จึงไม่เป็นปัญหาหากจะอยู่กันต่อไป แต่สภาพการเมืองข้างหน้ามีใครกล้ายืนยันได้ว่าประชาชนจะเลือกผู้แทนของตัวเองอย่างไร
การจัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองกลายเป็นว่าในซีกฝ่ายค้านไม่ได้มีปัญหา บรรดาคนหิวกล้วยทั้งหลายได้ปวารณาตัวสวามิภักดิ์ต่ออำนาจสืบทอดไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่เวลาที่จะไปแสดงตัวเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่มากอย่างที่คิด นั่นจึงทำให้การวางตัวผู้สมัครทำได้ง่ายไม่ว่ารูปแบบการเลือกตั้งจะออกมาแบบไหนก็ตาม แต่ซีกพรรคร่วมรัฐบาลกลับเจออุปสรรคในการจัดวางตัวมากกว่า ทั้งปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและการตกปลาในบ่อเพื่อน
จะว่าไปทั้งสองปัญหาก็คือเรื่องเดียวกัน เมื่อพรรคแกนนำหลักยังคงใช้วิธีการดูดด้วยสารพัดปัจจัย การได้คนใหม่มาก็ไปสร้างปัญหาให้กับคนเก่าเจ้าของพื้นที่เดิม ประสานักเลือกตั้งไม่มีใครอยากเอาตัวเองไปเสี่ยงกับระบบบัญชีรายชื่อ ยิ่งการจัดสรรเก้าอี้ของรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็เห็นชัดแล้วว่าสำหรับพรรคสืบทอดอำนาจนั้นไม่มีบัญชีหนึ่งสองสามเหมือนที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยทำในยุคไทยรักไทย หากแต่มีแค่โควตาของพรรคกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเท่านั้น
นั่นหมายความว่า ก่อนการเลือกตั้งจะไม่มีหนทางที่จะการันตีได้เลยว่าคนที่ไม่ถูกเลือก จะได้อะไรเป็นการตอบแทน เว้นแต่ปัจจัยด้านกระสุนถ้ามากพอก็ยอมกันได้ แต่นักเลือกตั้งไม่อยากได้แค่นั้น เพราะการมีหัวโขนโดยหากได้รับเลือกเป็นส.ส.ในสภามันมีหนทางในการที่จะกอบโกยได้มากกว่า พลังดูดที่เคยทำได้เมื่อครั้งก่อนการเลือกตั้งปี 2562 จะแตกต่างออกไป เพราะเวลานั้นยังไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน แต่หนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งหากเปลี่ยนระบบเลือกตั้งบัตรสองใบยิ่งจะวุ่นกันไปใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้น การดูดมาแล้วไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเฉพาะพรรคของตัวเองเท่านั้น หากแต่พรรคที่ไปเอาตัวผู้สมัครของเขามานั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วเกินกว่าร้อยละ 80 น่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองนี่แหละ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย่อมไปสร้างปัญหาให้กับพรรคเก่าแก่หรือแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลอื่น เพราะการจะหาคนที่มีฐานเสียงเป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่มาลงสมัครในช่วงระยะเวลาที่สั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ยังไม่นับรวมว่า หากพรรคของ “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเกิดขึ้นมาและลุยกันอย่างเอาจริงเอาจัง ก็จะสร้างปัญหาให้กับทั้งพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาลหนักเข้าไปอีก แต่กรณีนี้ต้องจับตาดูการปรับครม.ที่จะเกิดขึ้น หากปรากฏรายชื่อของปลัดคนดังมานั่งเป็นเสนาบดีด้วย ก็แสดงให้เห็นถึงการเดินเกมทางการเมืองคู่ขนานกับพี่ใหญ่ของน้องรัก 2 ป.ยังคงมีต่อไป ซึ่งกรณีของการเขย่าเก้าอี้บนเรือเหล็กนั้น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ดักคอไปแล้วก่อนหน้า
ประสาคนอ่านการเมืองออกและต้องการจะทำให้น้องรักได้สำนึกว่า “พี่รู้นะคิดอะไรอยู่” จึงมีการตีกันกันไว้ก่อน ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาก็อย่าขยับปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ขีดเส้นใต้เฉพาะสองตำแหน่งที่ถูกเขี่ยทิ้ง ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องไม่ใช่การยึดโควตาคืน แต่ยังต้องเป็นเก้าอี้สองตัวของพรรคสืบทอดอำนาจต่อไป การได้เห็น 13 ส.ส.ใต้ของพรรคสืบทอดอำนาจไปยืนหน้าสลอนรอรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่นครศรีธรรมราช แม้จะเป็นการไปทำตามหน้าที่แต่นี่ก็เป็นสัญญาณหนึ่งอันเกี่ยวเนื่องกับการปรับครม.
ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางการเมืองอันเนื่องมาจากต้นทุนทางความเชื่อถือของตัวเองตกต่ำต่อเนื่อง มันจึงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจขยับอะไรได้ลำบาก กรณีการริบ 4 กรมในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ครม.เห็นชอบให้ไปอยู่ในความดูแลของพี่ใหญ่ กลับไปให้พรรคประชาธิปัตย์ดูแลหลังจากถูกขู่มาจากพรรคเก่าแก่ แค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าภาวะความเด็ดขาดหรืออำนาจการต่อรองที่เคยมีก่อนหน้านั้น มันหายไปหมดแล้ว
แม้จะถือไพ่ที่เหนือกว่าคือสามารถจะยุบสภาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในช่วงขาลงเช่นนี้การทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย ไม่เป็นผลดีทั้งต่อตัวเอง พรรคสืบทอดอำนาจและพรรคร่วมรัฐบาล ความจริงการตกอยู่ภายใต้เกมการต่อรองของนักการเมืองที่ทำให้ตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องยอมเป็นคนใจป้ำไม่กี่วันก่อนลงมติในศึกซักฟอกที่ผ่านมา มันก็ชวนให้เกิดคำถามที่สำคัญในฐานะผู้นำการปฏิรูปประเทศตามข้ออ้างจากการยึดอำนาจ
สิ่งที่เห็นและเป็นไป ทำให้ต้องย้อนไปถามบรรดาม็อบนกหวีดทั้งหลายที่อ้างการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง ยกปมการเมืองใสสะอาด สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ใช่สิ่งที่ต้องการกันหรือไม่ สิ่งเหล่านี้มันคือวิถีทางการเมืองที่บริสุทธิ์โปร่งใสไม่น่ารังเกียจอย่างนักการเมืองทั่วไปที่เคยถูกผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยัดเยียดข้อกล่าวหาชั่ว-เลวหรือไม่ คำตอบมันมีอยู่เรื่อยมาตั้งแต่การวางแผนเขียนกฎหมายเพื่อการอยู่ยาว และการโชว์พลังดูดก่อนการเลือกตั้ง แก๊ง 3 ป.และลิ่วล้อก็คือนักการเมืองที่ลอกคราบจากผู้มีอำนาจในกองทัพเข้ามา และใช้วิธีทางการเมืองที่ล้าหลังสกปรกกว่าในอดีตเพื่อรักษาอำนาจเท่านั้น