เจ๊สำเพ็ง ในกำมือ SENA

เมื่อสองปีก่อนโครงการของเจ็สำเพ็งหรือ JSP เคยเปลี่ยนมือมาอยู่ใต้ร่มของกลุ่มสยามบราเดอร์ ผู้ผลิตแหอวนรายใหญ่ของประเทศในปีกอสังหาริมทรัพย์


เมื่อสองปีก่อนโครงการของเจ็สำเพ็งหรือ JSP เคยเปลี่ยนมือมาอยู่ใต้ร่มของกลุ่มสยามบราเดอร์ ผู้ผลิตแหอวนรายใหญ่ของประเทศในปีกอสังหาริมทรัพย์ แต่ผลประกอบการไม่กระเตื้องขึ้น การเปลี่ยนมือมาอยู่ใต้กลุ่มใหม่แต่เก๋าเกมกว่าอย่าง SENA ภายใต้ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ ผู้ละเอียดถี่ถ้วนและทันสมัย ย่อมถือเป็นข่าวดี

แม้ว่างานนี้หากสำเร็จ อาจจะทำให้ SENA ต้องก่อหนี้มากขึ้นจากการเทคโอเวอร์ฉันมิตร…เพราะได้ของดีราคาถูกเข้ามาจากการ “หักคอซื้อ”

เพราะถึงอย่างไรเสีย แลนด์แบงก์ของ JSP ที่ตุนอยู่ในมือมากมายจากเจ้าของรุ่นแรก ก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ได้อักโข สำหรับคนที่ชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง SENA

คำประกาศจะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์หุ้นทั้งหมดของ JSP โดย SENA ในราคา 0.50 บาทต่อหุ้น จึงเป็นความเขี้ยวขนาด “เกลือเรียกพี่” ของทางผู้บริหาร SENA

มติของบอร์ด บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาและอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบมจ. เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) เพื่อครอบงำกิจการ ในราคาไม่เกินหุ้นละ 0.50 บาท มีรายละเอียดดังนี้

– การเข้าซื้อหุ้นสามัญใน JSP เพิ่มเติมจำนวน 470,000,000 หุ้น คิดเป็น 11.19% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ JSP ในราคา 0.50 บาทต่อหุ้นคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 235.00 ล้านบาท จากนายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของ JSP (ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับบริษัทฯ) โดยการทำการซื้อขายบนกระดานซื้อขายรายใหญ่ หรือวิธีการอื่นใดที่บริษัทฯและผู้ขายจะกำหนดต่อไป

– การทำเทนเดอร์ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ SENA ได้เข้าถือหุ้น JSP คิดเป็น 35.35% นับเป็นการได้มาซึ่งหุ้นของ JSP ในสัดส่วนที่ข้าเกิน 25% ตามประกาศการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน JSP โดยบริษัทฯ จะทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 2,715,400,000 หุ้นหรือคิดเป็น64.65% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ JSP ในราคาเสนอซื้อ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,357.70 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน JSP ภายหลังการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้น JSP จากผู้ขายแล้วเสร็จซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการซื้อหุ้นจากผู้ขายได้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2565 และจะเริ่มดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน JSP ในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 2565

แม้จะอ้างว่าข้อดีของ การเข้าซื้อหุ้นสามัญของ JSP เป็นการเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงการเป็นบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการแนวราบและคอนโด รวมถึงที่ดินรอการพัฒนา โดยบริษัทสามารถต่อยอดโครงการระหว่างการพัฒนาของ JSP ได้รวดเร็วกว่าการที่บริษัทฯเริ่มพัฒนาโครงการใหม่ตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถร่นระยะเวลาในช่วงการเริ่มต้นพัฒนาโครงการไปได้และสามารถรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวได้ทันที

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ก่อให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of scales) ทั้งในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งหมายถึงการเจรจาต่อรองซื้อวัสดุก่อสร้างและบริการจากคู่ค้าและการใช้ทรัพยากรพื้นฐานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่……การเสนอซื้อในราคาต่ำกว่าราคาตลาดที่ระดับ 0.78 บาท และต่ำกว่าบุ๊กแวลูที่ระดับ 0.93 บาท สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อให้ได้ทั้งหมด เป็นการซื้อ “ทางเทคนิค” หรือตามกฎหมายเท่านั้น

เหตุผลก็เพราะว่าถึงแม้กิจการของ JSP ล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาสสามจะมีตัวเลขขาดทุนสะสมรวมมากถึง 691 บาท และงวดสิ้นปีอาจจะมีขาดทุนสะสมได้เท่ากับ 1.0 พันล้านบาท แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นยังมีมากพอถึงกว่า 1.3 พันล้าานบาท ไม่ถึงขึ้นล้มละลายต้องขายกิจการทิ้ง…โดยเฉพาะกลุ่มสวาทยานนท์ที่ถือครองหุ้นในสัดส่วนค่อนข้างมากอยู่เดิม

ดังนี้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว แหล่งเงินทุนที่ทาง SENA แจ้งว่าได้วงเงินกู้สนับสนุนจากสถาบันการเงิน เป็นวงเงินจำนวน 1,400 ล้านบาทในการชำระมูลค่าสิ่งตอบแทนสำหรับหุ้นสามัญ JSP ทั้งจำนวนที่บริษัทฯ ได้มาจากการทำรายการในครั้งนี้……… อาจจะไม่ได้ใช้ก็ได้ เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นรายเดิมไม่น่าจะขายออกมาในราคาต่ำติดพื้น เหมือนดังที่นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ซึ่งขายเพราะถอดใจทิ้งไปหาอนาคตอื่น ๆ แทน

เพียงแต่งานนี้ต้องวัดใจกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่น ๆ ไว้ด้วยว่า จะถอดใจตามนายลิขิตหรือไม่

ถ้าไม่ ……ต้องบอกว่า เกลือก็ย่อมต้องจิ้มด้วยเกลือน่ะแหละ

หากการเทนเดอร์ล้มเหลว ทาง SENA ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะสัดส่วนหุ้นที่ถือครองสามารถเข้าควบคุมการบริหารใน JSP ได้แล้ว แม้จะไม่ค่อยสง่างามก็เถอะถึงอย่างไรต้นทุนของราคาหุ้นที่ซื้อมาก็ต่ำกว่าคนอื่น ๆ อยู่ดี

งานนี้อาจจะเป็นการครอบงำกิจการฉันมิตรหรือฉันปรปักษ์ได้…หรือล้มเหลวในการทำเทนเดอร์ ทาง SENA ก็ไม่เสียหายอะไรเลย

อิ…อิ อิ

Back to top button