FPI กำไรออกตัวแรง.!

ถ้าพูดถึง บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI  เป็นหุ้นไซส์กลางในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ถูกจับตาว่างบจะออกมาดี จากการส่งสัญญาณของผู้บริหารก่อนหน้านี้ แม้ราคาหุ้นจะไม่ไปไหน ป้วนเปี้ยนแถว 3 บาทเศษมาสักพักใหญ่ ๆ...


ถ้าพูดถึง บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI  เป็นหุ้นไซส์กลางในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ถูกจับตาว่างบจะออกมาดี จากการส่งสัญญาณของผู้บริหารก่อนหน้านี้ แม้ราคาหุ้นจะไม่ไปไหน ป้วนเปี้ยนแถว 3 บาทเศษมาสักพักใหญ่ ๆ…

ล่าสุดเปิดงบปี 2564 ออกมา ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ฟาดกำไรสุทธิไป 329 ล้านบาท โตระเบิดระเบ้อ 899.9% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท

ก็เข้าใจได้อ่ะนะว่า ปี 2563 FPI พลาดท่าถูกโควิดเล่นงานซะอ่วมอรทัย ต้องปิดโรงงาน ทำให้กำไรย่อลงมาเยอะเหลือแค่หลักสิบล้านบาท จากปี 2562 เคยมีกำไรหลักร้อยล้านบาท…ครั้นพอตั้งหลักได้ และสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ก็ทำให้ FPI กลับมาโตแรงอีกครั้งในปี 2564…

จุดที่น่าสนใจ จะเห็นว่ากำไรในปี 2564 นั้น นอกจากจะมากกว่ากำไรในปี 2563 หลายเท่าตัวแล้ว ยังมากกว่ากำไรในปี 2562 กว่าเท่าตัวที่มีกำไรอยู่ที่ 186 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดสงครามโควิดเสียด้วยซ้ำ

ที่จริงถ้าไปดูในส่วนของรายได้รวมในปี 2564 ก็โตไม่เยอะนะ อยู่ที่ 2,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้รวม 1,856 ล้านบาท และใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 2,072 ล้านบาท แต่กำไรโตแรงแซงทางโค้งซะขนาดนี้ นั่นแสดงว่า FPI สามารถบริหารจัดการขาของต้นทุนได้ค่อนข้างดี..!!

โดยมีต้นทุนขายและบริการ 1,610 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 74.3% ของยอดขาย ซึ่งลดลง 6.5% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีต้นทุนขายและบริการอยู่ที่ 1,499 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 80.8% ของยอดขาย

สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทปรับขึ้นราคาสินค้า 5-10% เพื่อให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่บริษัทได้ทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ (โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก, เคมีภัณฑ์, และสี) ราคาล่วงหน้าเป็นเวลา 6-12 เดือน ประกอบกับมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และลดการสูญเสียในการผลิตได้ถึง 50 ล้านบาทต่อปี

ขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 153 ล้านบาท ลดลง 43.6% จากปี 2563 ที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 272 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดี เก็บเงินลูกค้าที่เป็นหนี้ระยะยาวได้มากขึ้น และสามารถขายสินค้าที่มีอายุมากได้มากขึ้น

เมื่อขาของต้นทุนลดฮวบ บวกกับตลาดที่เริ่มกลับมา โดยเฉพาะตลาดโซนเอเชีย และตะวันออกกลาง ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 902 ล้านบาท เป็น 1,042 ล้านบาท จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกิดภาวะวิกฤตทางด้านพลังงานในประเทศจีน ทำให้คู่แข่งในจีนมียอดผลิตที่ลดลงและต้องตั้งราคาขายสูงขึ้น รวมทั้งตลาดออสเตรเลีย, แอฟริกา และยุโรป ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 10.5 ล้านบาท, 14.8 ล้านบาท, และ 22.9 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนบริษัทลูกที่อินเดีย ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นตัวกดดัน FPI ก็เริ่มฟื้นตัว โดยยอดขายปี 2564 อยู่ที่ 136.3 ล้านรูปี เพิ่มขึ้น 89.9%

ก็เลยทำให้ในปี 2564 FPI โตทะลุทะลวงอย่างที่เห็น…

แหม๊…นี่ขนาดปี 2564 FPI รายได้โตไม่ถึง 20% นะเนี่ย แต่กำไรออกตัวแรงซะขนาดนี้ ก็น่าคิดปี 2565 ถ้ามีออเดอร์เข้ามามากกว่านี้ ก็น่าจะโตต่อได้อีกนะสิ โดยมีปัจจัยหนุนจาก 1) ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้น ตลาดฟื้นตัวต่อเนื่อง และ 2) โอกาสใหม่จากตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็น่าจะทำให้ FPI มีออเดอร์เข้ามาเยอะขึ้น

ส่วนจะโตแรงขนาดไหน..? เป็นช็อตที่ต้องจับตากันต่อไป…

เอาเป็นว่า นอกจากโชว์งบสวยแล้ว FPI ยังใจดีแจกปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.07 บาท หรือคิดเป็นดิวิเดนด์ยีลด์ 2.04% ก็ไม่น้อยไปนะคุ๊ณณณ…

งานนี้ก็คงแฮปปี้เอนดิ้งกันถ้วนหน้าแหละ…

…อิ อิ อิ…

Back to top button