ทุบไม่ลง..ก็ไปต่อ

เดิมทีสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ เพราะตลาดหุ้นต้องเผชิญแรงขายอย่างหนักหน่วง


*เดิมทีสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ เพราะตลาดหุ้นต้องเผชิญแรงขายอย่างหนักหน่วง จนดัชนีทำท่าจะทรุดลงไปกองในแดนลบอยู่รอมร่อ แต่โชคดีที่มีแรงซื้อไม้ใหญ่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดัชนีจึงถีบตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ก่อนจะลงเอยด้วยการยืนปิดที่ระดับ 1,635.28 จุด บวกไป 12.33 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.87 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนแฮปปี้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์นะจะบอกให้

*ที่น่าสนใจคือ การยืนปิดบวกของดัชนียังทำให้ความกังวลของนักเล่นคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวะที่ดัชนีดัชนีย่อตัวลงมาแถว 1,624 จุด ก่อนจะตีกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,630 จุด ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนโล่งใจสุด ๆ เพราะมันหมายความว่า ทุบไม่ลง..ก็ไปต่อ ซึ่งเป็นจุดที่นักเล่นสามารถคาดหวังเป้าหมายด้านบนที่บริเวณ 1,650 จุดได้อีกครั้ง (รวมถึงตัวน้องโมด้วย) ไงล่ะคะ

*นั่นหมายความว่า การขึ้นของดัชนีน่าจะอิงจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก จึงทำให้ฝรั่งหัวทองเดินหน้าซื้อหุ้นเข้าพอร์ตแบบสุดซอย (เก็บหุ้นอีกสองพันล้าน ส่วนกลุ่มอื่นขายลูกเดียว) ส่งผลให้โมเมนตัมของการลงทุนพลิกจากร้ายเป็นดีในชั่วพริบตา “โมนิก้า” ถึงต้องปรับมุมมองการลงทุนอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เห็นในเที่ยวนี้เหมือนส่งสัญญาณให้รู้ว่า W-Shape กำลังก่อตัวขึ้นอีกรอบ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเล่นใจกล้าเข้ามาเก็งกำไรนะจะบอกให้

*โดยเฉพาะการเคลื่อนตัวของหุ้นแบงก์ม่วงอย่าง SCB กลายเป็นจังหวะที่บังคับให้นักเล่นต้องตามกระแสแบบไม่อิดออด เพราะเที่ยวนี้คาดหวังยอดเก่าที่บริเวณ 120 บาทได้เป็นที่แรก ต่อจากนั้นค่อยมองไปถึงระดับ 138 บาท “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 115 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 3.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.90 พันล้านบาท น่าเล่นเหมือนที่เล่าให้ฟังอ๊ะป่าว!

*ส่วนการร่วงลงของหุ้น BTS น่าจะเป็นผลมาจากประเด็นทางการเมืองเป็นหลัก เพราะเกิดกระแสข่าวลือในหมู่เซียนหุ้นว่า ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่จะไม่ต่อสัญญารถไฟฟ้า ราคาหุ้นถึงร่วงตั้งแต่เปิดเทรด ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 8.75 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 2.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.65 พันล้านบาท ก็เป็นเกมที่ทำให้รู้ว่า สถานการณ์ของหุ้นตัวนี้ไม่สู้ดีเสียแล้ว และไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงในเรื่องที่รู้อยู่เต็มอก ว่า เฮีย ค. กำลังตกที่นั่งลำบากนะนายจ๋า!

*สำหรับกรณีของหุ้น HANA ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองก็จริง แต่ธุรกิจก็ผ่านจุดพีกมานานแล้ว จึงกลายเป็นหุ้นที่อยู่ในทิศทางไซด์เวย์อย่างเดียว และรอวันที่ผลงานจะกลับมาโตกระหึ่มอีกรอบ “โมนิก้า” จึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้น “ผลุบ ๆ โผล่ ๆ” ในกรอบ 45-50 บาทเป็นเวลานานถึง 3 เดือน และการที่หุ้นย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 45.25 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 3.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 582 ล้านบาท ก็แสดงว่า ผลงานยังไม่เป็นไปตามเป้านะคะ

*ส่วนรายที่กลับมาไล่ใหม่อย่างหุ้น BYD ก็เป็นช็อตที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะการขึ้นมาปิดที่ระดับ 9 บาท บวกไป 1.35 บาท หรือขึ้นไป 17.65% มาพร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่มากถึง 539 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้รู้ว่า หุ้นตัวนี้ถึงจังหวะเคลื่อนตัวครั้งใหญ่ แถมเที่ยวนี้มีเดิมพันอยู่ที่ยอดเก่าแถว 14 บาทเสียด้วย จึงกลายเป็นเกมวัดใจนักเล่นพอสมควร เดี๊ยนจึงขอเกาะติดสถานการณ์ห่าง ๆ แล้วกันนะจ๊ะ

*ในเมื่อมาแนวเก็งกำไรแบบสุดซอย “โมนิก้า” คงต้องยื่นหน้าออกไปดูหุ้น ASAP กันสักหน่อย เพราะการทะยานแรงสองวันติด ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 3.94 บาท บวกไป 0.58 บาท หรือขึ้นไป 17.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 333 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาสูงสุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน มันหมายความว่า ผลงานไตรมาส 2 ต้องมีอะไรพิเศษกว่าปีก่อน ๆ บรรดานกรู้ถึงกระโจนเข้ามาไล่ราคาอย่างเมามันไงล่ะคะ

*เหมือนกับการรีซูมเทรดของหุ้น KC เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มาในแนวเก็งกำไรแบบสุดโต่ง เพราะดูจากความสามารถในการปั้นธุรกิจให้โตแกร่ง ก็คงไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เดี๊ยนถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 0.49 บาท บวกไป 0.09 บาท หรือขึ้นไป 22.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 73 ล้านบาท ท่ามกลางมูลค่าทางบัญชี 0.11 บาท คงเป็นระดับที่เต็มแม็กซ์สำหรับหุ้นตัวนี้..ถ้าราคาหุ้นสูงไปกว่านี้ ก็คงต้องเสี่ยงดวงกันเอาเองเจ้าค่ะ

Back to top button