เด้งก็ขาย..ไม่เด้งก็ขาย

หากประเมินจากเรื่องเศรษฐกิจต่างประเทศ กับเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบตัดสินใจซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว


หากประเมินจากเรื่องเศรษฐกิจต่างประเทศ กับเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบตัดสินใจซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว “โมนิก้า” พูดได้ทันทีว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยกระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นตัวแปรที่ทำให้เดี๊ยนอยากซื้อหุ้นเมื่ออ่อนตัวลงมา เพราะทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แถมผู้คนเริ่มกลับมามีกำลังซื้ออีกครั้งแบบนี้..ลุยโลดพะย่ะค่ะ

ถึงกระนั้นถ้ามองในมุมของฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าออกตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับการไปต่อของตลาดหุ้นไทย เพราะดูจากแรงขายที่มีออกมาต่อเนื่องโดยที่ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางอ่อนตัวตลอดเวลา ย่อมเป็นสถานการณ์ที่บังคับให้ต้องขายหุ้นเพื่อลดเสี่ยงออกไปก่อน และเมื่อนำมาผนวกกับการเร่งขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลกก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในข่ายที่นักลงทุนสถาบันต้องรินหุ้นออกมาไงละคะ

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะผันผวนในทิศทางขาลงเป็นเวลานาน เพราะหุ้นบลูชิพถูกฝรั่งขายตลอดเวลาจนโงหัวไม่ขึ้น (เด้งกลับไปแป๊บหนึ่ง ก็โดนขายใส่อีก) ขณะที่หุ้นกลางเล็กก็อยู่ในประเทศดาวรุ่งข้ามคืนเป็นส่วนใหญ่ จึงฝากความหวังอะไรไม่ได้ในช่วงนี้ และทั้งหมดที่กล่าวถึงก็สะท้อนได้จากอาการที่ดัชนีพยายามวิ่งกลับไปยืนในแดนบวก แต่สุดท้ายก็โดนกดลงมาอยู่ที่ 1,560.78 จุด ลบไป 1.90 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.76 หมื่นล้านบาทนะจะบอกให้

โดยเฉพาะการลากไปเชือดของหุ้นร้อน SPACK ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว และคนที่เป็นเจ้ามือเที่ยวนี้ก็เป็นคนที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า เขาเป็นใคร? เดี๊ยนจึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 4.94 บาท แต่หลังจากนั้นโดนสาดโครมเดียวจนลงมานอนกลิ้งที่ระดับ 3.96 บาท ลบไป 0.48 บาท หรือลงไป 10.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 709 ล้านบาทเจ้าค่ะ

อีกรายที่ถึงรอบต้องขายทำกำไร “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นประกันอย่าง KWI เพราะอาการพุ่งพรวดพราดแบบไม่บอกกล่าว โดยที่โมเมนตัมของหุ้นอยู่ในทิศทางไซด์เวย์ดาวน์มันเหมือนเป็นการบอกใบ้ว่า นี่เป็นการเล่นเฮือกสุดท้าย! และคนที่ออกไม่ทันอาจติดดอยแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะการขึ้นมาปิดที่ระดับ 3.92 บาท บวกไป 0.54 บาท หรือขึ้นไป 16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 292 ล้านบาทมันเว่อร์เกินไปน่ะซี

ประเด็นข้างต้นคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ CPH อย่างกับแกะที่อยู่ในทุ่งหญ้า เพราะการขึ้นเที่ยวนี้มาแบบรวดเร็ว และน่าจะซัดกันหนักทุกไม้ที่เคาะขวา ราคาหุ้นถึงพุ่งขึ้นมาปิดที่ 34.50 บาท บวกไป 3 บาท หรือขึ้นไป 9.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 268 ล้านบาทแบบรวดเร็ว “โมนิก้า” เลยไม่แน่ใจว่า เที่ยวนี้จะเล่นกันยาวแค่ไหน? เพราะก่อนหน้าก็เล่นกันแรงแบบนี้ ต่อจากนั้นก็เลิกกันไปดื้อ ๆ นะจ๊ะ

สถานการณ์ข้างต้นเทียบเคียงได้จากหุ้น TKT ซึ่งไล่ราคากันอย่างบ้าคลั่งแบบงง ๆ แต่สุดท้ายก็เลิกแบบงง ๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินการทรุดตัว 11% เมื่อวันก่อน และถัดมาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 2.88 บาท ลบไป 0.46 บาท หรือลงไป 13.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 106 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 45 เท่า มันหมายความว่า เจ้ามือปล่อยเกียร์ว่าง และเปิดตูดหนีไปแล้วใช่ไหม?..ลองไปคิดกันดูนะคะ

เม้าท์ถึงเรื่องที่ต้องคิดกันทั้งที “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นทีเด็ดอย่าง JMT เพื่อชี้เห็นการเด้งกลับเป็นวันที่สอง ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 64.25 บาท บวกไป 3 บาท หรือขึ้นไป 4.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 892 ล้านบาท มันเป็นจังหวะที่ควร “เล่นตามน้ำ” หรือ “ทำกำไร”เพราะสิ่งที่ทุกคนรับรู้กันอย่างกว้างขวางก็คือ โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมายสูงถึงระดับ 100 บาท แถมเซียนพระคนดังยังกอดหุ้นแน่นแบบนี้..มันเป็นช็อตที่วัดใจคนเล่นจริง ๆ นะออเจ้า

เช่นเดียวกับสถานการณ์ของหุ้นน้องใหม่ไฟแรงอย่าง DITTO ก็เป็นช็อตที่น่าตื่นเต้นสำหรับกองเชียร์อย่างอีฉัน เพราะการเดินหน้าลุยธุรกิจ “คาร์บอนเครดิต” แบบเต็มตัว มันเป็นการพลิกโฉมบริษัทครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง และเรื่องนี้ก็เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางธุรกิจทำเงินมหาศาล จึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 69 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 119 ล้านบาท เทียบกับเป้า 90 บาทแบบนี้..เอาไงดีจ๊ะ

Back to top button