ทุบตรง 1,700 สองครั้ง!

เดิมที “โมนิก้า” คิดว่า ดัชนีจะวิ่งฝ่าแนวต้าน 1,700 จุดได้แบบสบาย ๆ เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศยังไปได้สวย และความกังวลที่มีต่อเงินเฟ้อก็ลดลง


เดิมที “โมนิก้า” คิดว่า ดัชนีจะวิ่งฝ่าแนวต้าน 1,700 จุดได้แบบสบาย ๆ เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศยังไปได้สวย และความกังวลที่มีต่อเงินเฟ้อก็ลดลง หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อให้ดัชนีเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง แต่เอาเข้าจริงกลับโดนเทหน้าตาเฉย โดยเฉพาะในจังหวะที่ดัชนีเทคตัวขึ้นมายืนเหนือ 1,690 จุด ก็มีแรงขายออกมาปั๊บแบบนี้..มันตีความได้ 2 แนวทางนะจะบอกให้

โดยแนวทางแรกที่เห็นชัดในมุมของเซียนเทคนิคก็คือ “ย่ำฐาน” เพื่อให้แรงขายสะเด็ดน้ำดีเสียก่อน ซึ่งต้องเผื่อแก๊ปให้ดัชนีขึ้นลงประมาณ 20 จุด ต่อจากนั้นถึงจะเห็นการเทคตัวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ส่วนแนวทางสองเป็นเรื่องของการ “หมดรอบ” ซึ่งจะทำให้ดัชนีย่อตัวลงแรงสุด ๆ และมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมายืนแถว 1,600 จุด แต่ใจของเดี๊ยนก็ยังเชื่อมั่นแนวทางแรกมากกว่าอยู่ดีเจ้าค่ะ

ฉะนั้นการที่ดัชนีทรุดตัวลงมาถึงระดับ 1,681.88 จุด ต่อจากนั้นตีตื้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,685.75 จุด ลบไป 5.66 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.30 หมื่นล้านบาท ย่อมโน้มเอียงไปในทางที่ “โมนิก้า” เชื่อมาตั้งแต่ต้น และเที่ยวนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การย่อตัวของหุ้นใหญ่เป็นแค่เพียงระยะสั้น ๆ จึงเป็นโอกาสสำหรับนักเล่นที่เชื่อว่า หุ้นยังอัพไซด์ให้วิ่งไม่ต่ำกว่า 10-15% เป็นอย่างต่ำพะยะค่ะ

โดยเฉพาะในมุมของความเชื่อที่ว่า ปีนี้ปิโตรเคมีจะมาแบบจัดเต็ม ย่อมมีชื่อของหุ้น IRPC รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเป็นหนึ่งในหุ้นที่อิงกระแสการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีเป็นประจำ และการที่หุ้นยืนปิดที่ระดับ 3.06 บาท ลบไป 0.04 บาท หรือลงไป 1.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 475 ล้านบาท ท่ามกลาง BV 4.24 บาท ย่อมเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เดี๊ยนสนใจหุ้นตัวนี้มากเป็นพิเศษนะจ๊ะ

คล้ายกับในรายของหุ้นลังกระดาษ SCGP ก็อยู่ในกลุ่มหุ้นที่น่าสวนกระแสเป็นลำดับต้น ๆ เพราะเมื่อดูจากการเคลื่อนตัวแบบ W-Shape โดยมีกรอบบนสุดอยู่ที่ระดับ 60 บาท และมีกรอบล่างสุดอยู่ที่ระดับ 50 บาท แต่มีจุดกึ่งกลางที่เป็นตัวชี้ว่า “ขึ้นต่อ ลงต่อ” อยู่ที่ระดับ 55 บาท ย่อมทำให้การยืนปิดที่ระดับ 56.50 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 2.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.31 พันล้านบาท น่าสนใจขึ้นมาทันทีนะตัวเอง

ส่วนรายที่เริ่มมีลุ้น และดูดีขึ้นต่อเนื่อง “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น TIDLOR แบบไม่ลังเลใจ เพราะการไต่เพดานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางแรงซื้อที่คอยหนุนเป็นระยะ ย่อมทำให้การยืนปิดที่ระดับ 31 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 482 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องที่ต้องวอรี่มากนักสำหรับคนที่มองเกมยาว ๆ เพราะหลายคนยืนยันตรงกันว่า ปีนี้หุ้นลีสซิ่งมาแบบเต็มคาราเบล..จริงหรือไม่ ดูกันต่อไปนะคะ

สำหรับตัวจี๊ดที่ทำให้ขาลุยตาลุกวาวต้องมองไปที่หุ้น CPH หลังเจ้ามือเข้ามาลากหุ้นแบบจัดเต็ม จนราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 38.75 บาท บวกไป 7.50 บาท หรือขึ้นไป 24% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 570 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่นักเล่นพร้อมจะเสี่ยงตายกันทั้งนั้น จึงกระโจนเข้ามาไล่หุ้นแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปแนะแนวอะไรทั้งสิ้น เพราะคนที่เข้ามาเล่นก็เป็นพวกเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น..จริงไหมจ๊ะ

ประเด็นข้างต้นคล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น TH ซึ่งเข้าไปพัวพันกับหุ้นคาวแห่งปีอย่าง MORE ก็ทำให้หลายคนเข็ดขยาดกับแนวทางการทำธุรกิจของ “เฮียนึก” เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นขึ้นแรงทีไร ต่อจากนั้นก็ร่วงไม่เป็นท่าทุกที เพราะคนเล่นไม่อยากตกเป็นเหยื่อของเกมหุ้น วานนี้จึงเห็นหุ้นยืนซึมกระทือที่ 2.46 บาท ลบไป 0.02 บาท หรือลงไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขายแค่ 35 ล้านบาทแบบนี้.. “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น” กระมัง!..อิอิอิ

ส่วนรายที่ขึ้นมาแบบเงียบ ๆ แต่ขึ้นแบบเนิบ ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น INSET เพื่อชี้ให้เห็นทิศทางของหุ้นเทคได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และตอนนี้กำลังผงกหัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งหมดมาจากการลงทุนด้าน “ไซเบอร์ซีเคียวริตี้” เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก จึงอนุมานได้ว่า หุ้นตัวนี้จะกลับมาอีกครั้ง วานนี้จึงเห็นหุ้นขึ้นมาปิดที่ 3.38 บาท บวกไป 0.18 บาท หรือขึ้นไป 5.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 40 ล้านบาทไงล่ะจ๊ะ

Back to top button