
มอง SET ผันผวน รอติดตามความชัดเจนจากหลายปัจจัย
InnovestX มองว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ พ.ค. ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด เป็นเพียงปัจจัยบวกชั่วคราว เป็นผลเนื่องจากการเลื่อนมาตรการภาษีศุลกากรออกไป
InnovestX มองว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ พ.ค. ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด เป็นเพียงปัจจัยบวกชั่วคราว เป็นผลเนื่องจากการเลื่อนมาตรการภาษีศุลกากรออกไป อย่างไรก็ตาม หลังมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ InnovestX เชื่อว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจะมีความชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจากดัชนี PMI ย่อยราคาวัตถุดิบ (Input prices) และราคาผลผลิต (Output prices) สำหรับประเทศพัฒนาแล้วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งช่วงต้นปี สะท้อนภาวะที่ธุรกิจต่าง ๆ ส่งผ่านต้นทุนภาษีนำเข้าไปยังผู้บริโภคอย่างเต็มจำนวนสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจนำไปสู่ภาวะ “stagflation” ซึ่งจะทำให้ Fed ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้แม้เศรษฐกิจชะลอลง สำหรับการประชุม FOMC ในวันที่ 18 มิ.ย. InnovestX และตลาดมองว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
ประเด็นที่ ปธน.ทรัมป์ ประกาศว่าเตรียมส่งจดหมายแจ้ง “อัตราภาษีแบบฝ่ายเดียว” ให้กับประเทศคู่ค้าในช่วง 1–2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อบังคับใช้ภาษีใหม่ในวันที่ 9 ก.ค. แต่ความชัดเจนในรายละเอียดและความแน่นอนของแผนกลับยังต่ำมาก เนื่องจากที่ผ่านมา ปธน. ทรัมป์ เคยประกาศว่าจะกำหนดอัตราภาษี “ภายใน 2-3 สัปดาห์” ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ตลาดเริ่มไม่แน่ใจว่าเส้นตาย 9 ก.ค. จะถูกเลื่อนอีกหรือไม่ รวมถึงการเจรจาส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ขัอสรุป โดยมีความคืบหน้ากับแค่สหราชอาณาจักร และการพักศึกด้านภาษีกับจีนเท่านั้น แต่ประเทศอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป ยังอยู่ระหว่างเจรจา
ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET แกว่งตัวผันผวน โดยอยู่ระหว่างติดตามสถานการ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าเพิ่มเติม หลังจากมีข้อสรุปเบื้องต้นกับจีนไปแล้ว รวมถึงการแจ้งอัตราภาษีแบบฝ่ายเดียวกับประเทศอื่น ๆ ใน 1-2 สัปดาห์นี้ ขณะที่ปัจจัยภายในยังติดตามความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย (การปรับ ครม.) และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (อาทิ เที่ยวไทยคนละครึ่ง และโครงการกระตุ้น ศก. 1.57 แสนลบ.) อย่างไรก็ดี InnovestX เชื่อว่า ช่วงต้น เม.ย. SET ได้ปรับลงสะท้อนวิกฤติจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไปแล้ว (มอง SET ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วที่ downside 1,032 จุด) และยังคงมุมมองว่าหากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1,120-1,100 จุด ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก และ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
- หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC, TRUE, CPALL, BTG, CPF
- หุ้น SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป พร้อมคาดให้ Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป แนะนำ PTT, KTB, BBL, HMPRO
- หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC, BDMS, CPALL, PTT, BCH, BTG, AP
- หุ้นตั้งรับที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการรอดูความชัดเจนของการดำเนินมาตรการภาษีของ ปธน. ทรัมป์ แนะนำ BCH, CPALL, GULF, MTC, OR , TRUE
- Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังเกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แนะนำ PTT, PTTEP 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์หากรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แนะนำ SCC, SCCC, STECON, CK และ 3) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่ม REITs (DIF), กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, TIDLOR) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, GPSC)