ช่องแคบฮอร์มุซกับราคาน้ำมันดิบโลก

ถึงแม้โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศว่าอิหร่านและอิสราเอลหยุดยิงไปแล้ว แต่อิหร่านก็ยังไม่หยุดพร้อมกับยังโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ


ถึงแม้โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศว่าอิหร่านและอิสราเอลหยุดยิงไปแล้ว แต่อิหร่านก็ยังไม่หยุดพร้อมกับยังโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์อยู่เรื่อย ๆ ทำให้ยุทธศาสตร์ของอิหร่านที่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซส่งผลให้วงการน้ำมันโลกหวั่นไหวหากสงครามบานปลาย เพราะช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางไปทั่วโลก

ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ได้กลายเป็นจุดที่ผู้สังเกตการณ์ทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากช่องแคบแห่งนี้ถือเป็นเส้นทางการขนส่งที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์

ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า ช่องแคบฮอร์มุซซึ่งอยู่ระหว่างโอมานกับอิหร่านมีความสำคัญอย่างมาก เป็นหนึ่งในเส้นทางเดินทะเลที่สำคัญที่สุดของโลก โดยในปี 2566 ปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซคิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณน้ำมันที่ค้าขายทางทะเลทั่วโลก และปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของการค้า LNG ทางทะเลทั่วโลก

ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ

(EIA) ระบุว่า ปริมาณน้ำมันที่มีการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเฉลี่ยอยู่ที่ 20.9 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2566 ขณะเดียวกัน EIA ประมาณการว่า 83% ของน้ำมันดิบและคอนเดนเสท (condensate) ที่ลำเลียงผ่านช่องแคบแห่งนี้ถูกส่งไปยังตลาดเอเชีย โดยมีจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นจุดหมายปลายทางหลัก

ทางด้านสหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบและคอนเดนเสทผ่านช่องแคบฮอร์มุซประมาณ 5 แสนบาร์เรล/วันในปีดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วน 8% ของการนำเข้าน้ำมันดิบและคอนเดนเสททั้งหมดของสหรัฐฯ และคิดเป็น 2% ของปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลวทั้งหมดของสหรัฐฯ โดย EIA ระบุเพิ่มเติมว่า มีเพียงซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้นที่มีท่อส่งน้ำมันดิบที่สามารถหลีกเลี่ยงช่องแคบฮอร์มุซได้

แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากช่องแคบแห่งนี้ถูกปิดแม้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างมาก อีกทั้งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันหากภาวะชะงักงันยืดเยื้อออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการที่อิหร่านเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยดำเนินการเต็มรูปแบบ

นักวิเคราะห์จากบริษัท โกลบอล ริสก์ แมเนจเมนต์ (Global Risk Managem) กล่าวว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ หากอิหร่านตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันทั่วโลกมากถึง 20% ขณะที่เจพี มอร์แกนคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 120-130 ดอลลาร์/บาเรล

นักวิเคราะห์จาก ING ระบุว่า สิ่งที่ตลาดน้ำมันวิตกกังวลคือการปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลกต้องขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้ และหากการขนส่งน้ำมันหยุดชะงักลง ก็อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล

ทั้งนี้ อิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยมีการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรล/วัน

สภาการเดินเรือทะเลบอลติกและระหว่างประเทศ (BIMCO) ซึ่งเป็นสมาคมการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า บริษัทเดินเรือบางแห่งกำลังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านช่องแคบฮอร์มุซ สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการเดินเรือมีความกังวลมากขึ้นต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ทวีความรุนแรงในขณะนี้

ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล มาร์เก็ต อินเทลลิเจนซ์ (S&P Global Market Intelligence) ระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่ากลุ่มบริษัทเดินเรือกำลังเริ่มหลีกเลี่ยงการเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยไม่ได้ระบุชื่อบริษัทใดอย่างเจาะจง

ช่องแคบฮอร์มุซถือเป็นประตูสำคัญสู่อุตสาหกรรมน้ำมันโลก และเป็นจุดขาเข้าที่สำคัญสำหรับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่มุ่งหน้าสู่ท่าเรือเจเบลอาลี (Jebel Ali Port) ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ของดูไบ ทั้งนี้ การที่เรือเดินสินค้าไม่สามารถขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มต้นทุนการขนส่ง และทำให้การจัดหาสินค้าเกิดความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ผลิตปิโตรเคมีของไทยจะได้รับความเสียหายอย่างหนักเพราะไทยนำเข้าน้ำมันและ LNG จากโอมานโดยตรง

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button