พาราสาวะถี

ก่อนจะถึงศุกร์ที่ 29 สิงหาคม วันชี้ชะตา แพทองธาร ชินวัตร จะอยู่หรือไป จากคดีคลิปเสียงคุยกับฮุน เซน วันนี้ (25 สิงหาคม) นายกรัฐมนตรีหญิงจะต้อง ยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก่อน


ก่อนจะถึงศุกร์ที่ 29 สิงหาคม วันชี้ชะตา แพทองธาร ชินวัตร จะอยู่หรือไป จากคดีคลิปเสียงคุยกับฮุน เซน วันนี้ (25 สิงหาคม) นายกรัฐมนตรีหญิงจะต้อง ยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก่อน หลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งให้ทั้งฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้อง เลื่อนการยื่นคำแถลงปิดคดีมาจากวันที่ 27 สิงหาคม ทั้งนี้ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับทีมกฎหมายของท่านผู้นำ เพราะการที่เจ้าตัวไปชี้แจงต่อศาลด้วยตนเองเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เท่ากับว่าทุกอย่างมีความพร้อม โดย มีการรวบรวมหลักฐานและข้อเท็จจริงในทุกประเด็นจัดทำเป็นคำแถลงปิดคดีฯ เรียบร้อย

ที่เหลือหลังจากนี้ก็รอไปลุ้นผลกันเอาในวันศุกร์นี้ ส่วนประเด็นที่ว่า แพทองธารจะลาออกก่อนถึงวันวินิจฉัยนั้น ยืนยันตรงกันทุกสายไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ทุกอย่างว่ากันไปตามกระบวนการให้สุดทาง ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะรอดหรือร่วง แต่โจทย์การเมืองที่ ทักษิณ ชินวัตร รับมากับมือพร้อมเหล่าบรรดาแกนนำที่ร่วมดีลทั้งหลายคือ ต้องจับมือกันเดินต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นจึงอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บรรดาแกนนำของพรรคเพื่อไทย ต่างมั่นใจว่า หัวหน้าพรรคจะได้ไปต่อในตำแหน่งผู้นำประเทศ

จะเรียกว่าเป็นลางดีที่คดีของพ่อนายกฯ ในความผิดมาตรา 112 ศาลยกฟ้องไปแล้ว คงจะนำมาเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในเรื่องข้อกล่าวหา กระบวนการพิจารณา และอำนาจศาล แต่อย่างน้อยก็ ถือเป็นมิติในเชิงบวกที่ทำให้เหล่าผู้ร่วมขบวนแห่งอำนาจบริหารประเทศได้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง จากที่คิดว่าทุกอย่างจะเลวร้าย เป็นต้นเหตุฉุดให้ความเชื่อมั่นทางการเมืองมีปัญหา หากรูปการณ์ดำเนินไปในลักษณะนี้ พอมีหวังว่ายังมีช่องทางได้หายใจหายคอกันคล่องขึ้น

ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อีกฝ่ายยังคงใช้เล่ห์เหลี่ยมต่อกระบวนการเจรจาหลังหยุดยิงไม่หยุดหย่อน กรณีการประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาคหรือ RBC ที่จังหวัดสระแก้ว ระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กับ กองบัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของเขมร มีการเล่นเกมยียวนในการประชุมฝ่ายเลขานุการด้วยการขอหารือทางออนไลน์และโทรศัพท์ ก่อนที่หลังเที่ยงคืนของวันเดียวกันจะยอมข้ามฝั่งมาลงนามในเอกสารที่จะเสนอในที่ประชุมระดับผู้บัญชาการในวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุทางไทยขู่จะแจ้งต่อคณะผู้สังเกตการณ์ร่วมหรือ IOT

ไม่จบเท่านั้น หลังประชุมพบว่ามีการนำเสนอข่าวของอีกฝ่าย อ้างว่าได้ตกลงถึงมาตรการปฏิบัติเพื่อจัดการกับลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางอื่น ๆ แลกกับการที่เขมรยอมเข้าร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด จนทำให้ทั้งทางโฆษกกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 1 ต้องชี้แจงว่า ไม่มีการลงนามในประเด็นที่กล่าวอ้าง เป็นเพียงการกล่าวเปิดประชุมของตัวแทนฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น ข้อหารือต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกเอกสารข้อตกลงของ RBC  ให้นำไปหารือในการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC เพื่อนำไปดำเนินการในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมหรือ JBC ต่อไป นี่คือบทพิสูจน์ มันไว้ใจไม่ได้จริง ๆ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 หน่วยทหารในพื้นที่ตรวจพบทหารเขมร 2–3 นาย จากลักษณะการแต่งกายคาดว่า เป็นหน่วย BHQ ปฏิบัติการดักซุ่มและตรวจการฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ใกล้ปราสาทตาควาย ห่างจากแนวเส้นปฏิบัติการเข้ามาในเขตอธิปไตยไทยประมาณ 100 เมตร พบมีการแอบวางทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 3 ทุ่น ถือเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า เขมรทำการรุกรานและละเมิดข้อตกลงหยุดยิง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด แบบนี้ต้องส่งหลักฐานทั้งหมดให้ IOT ได้รับรู้ถึงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจนี้

อรชุน

Back to top button