พาราสาวะถี

เป็นอันว่าเบาใจกันได้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลไม่มีเหลี่ยม หลังที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไป คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เนื่องจากจะเป็นการประหยัดและใช้งบประมาณแผ่นดินโดยคุ้มค่า เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมากที่สุด พร้อมกับเคาะคำถามประชามติในส่วนของรัฐบาลคือ “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”

ประกบกับคำถามซึ่งที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบไปก่อนยุบสภา 11 ธันวาคมที่ผ่านมา กับคำถามว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญริเริ่มจากสภาฯ นั่นหมายความว่า การสานต่อโดย ครม.หลังจากได้มีการประกาศยุบสภาไปแล้ว เป็นการเชื่อมหลักการ 2 มิติเข้าด้วยกัน เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถเดินต่อไปได้ โดยใช้เสียงของประชาชนผ่านประชามติเป็นตัวตัดสิน

ยืนยันจาก อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่เตะถ่วง ไม่ใช้สถานการณ์ชายแดนมายึดยื้อให้การเลือกตั้งเนิ่นช้า ส่วนประเด็นที่ว่าใช้กระแสชาตินิยมมาเป็นตัวสร้างคะแนนให้กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะออกตัวหรือใช้วาทกรรมเพื่อทำให้ดูดีอย่างไร มันคงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าการสู้รบที่ยืดเยื้อ จะต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม ในการทำลายศักยภาพด้านการรบของเขมรให้ได้ และ กองกำลังของไทย รวมทั้งประชาชน จะต้องไม่สูญเสียหรือหากเกิดขึ้นก็ต้องให้น้อยที่สุด

ดูแนวโน้มสถานการณ์ตอนนี้ เมื่อประเมินจากประสิทธิภาพในการรบ ยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ของกองทัพไทยย่อมเหนือกว่า สามารถที่จะข่มขวัญข้าศึกได้ แต่หลายพื้นที่จะเห็นได้ว่า ยังไม่สามารถควบคุมหรือยึดคืนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะที่ปราสาทตาควายที่ล่าสุดสูญเสียกำลังพลไปอีก 2 นาย จากการถูกฝ่ายเขมรบุกเข้าโจมตี ใช้การรบในระยะประชิดช่วงกลางคืน ซึ่งถือว่าอีกฝ่ายมีความชำนาญในพื้นที่มากกว่า ตรงนี้จึงยัง ไม่สามารถที่จะกดข่มทำให้เขมรยอมจำนนเข้าสู่โต๊ะเจรจาตาม 3 เงื่อนไขที่ฝ่ายไทยชงไปได้

ขณะที่ 3 เงื่อนไข ถามว่าฝ่ายเขมรจะยอมหรือไม่ แค่ข้อแรกให้กัมพูชาเป็นฝ่ายประกาศหยุดจริงก่อน ในฐานะที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกราน ใครมันจะยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่ม แค่นี้ก็น่าจะเดินต่อลำบาก เช่นเดียวกับข้อต่อมา การหยุดยิงจะต้องเกิดขึ้นจริงและต้องต่อเนื่อง ต้องไม่ยิงซ้ำ ที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นไปได้หรือไม่ สุดท้าย ขอเห็นความจริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการให้ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน อันเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายกระต่ายขาเดียวมาตลอดว่าไม่ร่วม มิหนำซ้ำ ยังจ้องจะขัดขวางฝ่ายไทยที่ดำเนินการเก็บกู้ฝ่ายเดียว ขนาดมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือ AOT ร่วมด้วย เขมรยังไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

ไม่เพียงเท่านั้น จากการที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต มี อันโตนิโอ กูเตเรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น มาเป็นประธานในการเปิดงาน เขมรยังเมินไม่เข้าร่วม จะอ้างว่าเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศก็ดูท่าจะไม่มีน้ำหนักพอ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาระดับโลกที่แม้แต่ผลการศึกษาของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ก็ชี้ชัดว่า เขมรคือศูนย์กลางของแก๊งลวงลอกออนไลน์ข้ามชาติ

ทั้งที่กรณีปัญหาความขัดแย้งกับไทยเขมรได้ประท้วง และฟ้องทุกเวทีระดับนานาชาติ แต่เรื่องที่สำคัญเช่นนี้ไม่ยอมให้ความร่วมมือจุดนี้ หากไทยจะฉกฉวยความได้เปรียบก็ควรจะเรียกร้องให้ประเทศที่หนุนหลังเขมรในเรื่องข้อเรียกร้องให้ไทยร่วมยุติการรบ ได้แสดงท่าทีกดดันศัตรูด้วยว่ามีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่มีตัวเองเป็นต้นตอหรือไม่ จะได้เป็นการประจานประเทศผู้สนับสนุนฝ่ายริเริ่มสงครามด้วยว่า มีผลประโยชน์อื่นแอบแฝงหรือไม่

กลับมาดูเรื่องการเลือกตั้งถึงนาทีนี้ถือว่าได้เริ่มเข้าสู่โหมดช่วงชิงทางการเมืองแบบเต็มตัวแล้ว แต่ละพรรคจะต้องเปิดตัวบุคคลที่จะลงสมัคร สส.ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อกันให้เรียบร้อย พวกที่จะย้ายคอกก็หมดเวลาที่จะกั๊กกันอีกต่อไป ถ้าพิจารณาจากความเป็นแหล่งสะสมเหล่าบ้านใหญ่ก็ต้องบอกว่าด้วยความเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และมีอำนาจในวันเลือกตั้งพรรคสีน้ำเงินถือว่าเป็นศูนย์รวมมากที่สุด อันเนื่องมาจากความพร้อมในทุกด้าน ยิ่งได้แบ็กอัพระดับเทพยิ่งเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ในจังหวะที่ยังไม่รู้พรรคไหนจะหมู่หรือจ่า ภายใต้สถานการณ์การเมือง 3 ก๊ก การคาดเดาสูตรตั้งรัฐบาล จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมองกัน ตั้งต้นกันมาด้วยการเป็นฝ่ายค้ำและทำให้เกิดรัฐบาลอายุสั้น สูตรแรกจึงเป็น พรรคภูมิใจไทยจับมือกับพรรคประชาชน แต่สูตรนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ล็อกไว้ตายตัวคือ พรรคสีน้ำเงินต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น หากเข้าป้ายเป็นที่สองย่อมจะไหลไปสูตรที่สองคือ พรรคสีน้ำเงินจับมือกับเพื่อไทยแล้วไปเลือกจิ้มเอาพรรคอันดับสี่ลงไปให้มีเสียงมากพอที่จะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ

แต่สูตรนี้ว่ากันว่าเสียงส่วนใหญ่ของภูมิใจไทยไม่แฮปปี้ที่จะกลับไปร่วมงานกับพรรคนายใหญ่ ซึ่งถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ก็เท่ากับว่าจะเข้าล็อก พรรคสีส้มกลับมาจูบปากกับพรรคสีแดง แค่สองพรรคน่าจะมีเสียงมากพอในการตั้งรัฐบาล ถ้าขาดก็จะเหลืออีกเล็กน้อย จะเป็นจังหวะของพรรคขนาดกลางที่พร้อมเสียบ เมื่อพิจารณาจากการแต่งองค์ทรงเครื่องเวลานี้ที่มีภาษีกว่าใครเพื่อนน่าจะเป็นกล้าธรรมของ ธรรมนัส พรหมเผ่า นี่เป็นสูตรตั้งต้นที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด สุดท้ายเมื่อยังไม่ถึงวันหย่อนบัตรจะฟันธงว่าเป็นแบบนี้เลยคงไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรระหว่างทางหรือไม่ ไทยแลนด์โอนลี่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

อรชุน