JMT คืนสู่สังเวียนแชมป์! เป้าเกิน 24 บ.ฐานกำไร 3 ปีข้างหน้าพุ่งแรงเกินเท่าตัว

แล้วก็ถึงเวลาของ JMT ที่จะเริ่มตักตวงผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมที่ล้วนเอื้อต่อธุรกิจบริหารหนี้ โดยการต่อยอดไปธุรกิจใหม่ๆ ทั้งสินเชื่อบุคคล และทะเบียนรถยนต์ ไม่ได้สร้างความกังขาเลยถึงความสำเร็จที่รออยู่นับจากนี้


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (7 เม.ย.) ว่า ภายหลังจากการเบนเข็มธุรกิจไปสู่การรับซื้อหนี้มาบริหารอย่างจริงจัง โดยที่หนี้ดังกล่าวจะเริ่มสร้างกำไรอย่างมีนัยฯ ให้กับบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ตามการเพิ่มขึ้นของมูลหนี้ที่ตัดต้นทุนไปครบแล้ว

ขณะที่โอกาสการรับซื้อหนี้ใหม่ๆ เข้ามาบริหารยังรออยู่อีกมหาศาล ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวย จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินที่ผ่านมา อีกทั้งการที่ พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ มองเป็นโอกาสทางธุรกิจของ JMT เนื่องจากจะทำให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มความระมัดระวังในการตามหนี้ โดยการส่งต่องานรับจ้างติดตามหนี้ให้แก่ JMT มากขึ้นในฐานะที่เป็นมืออาชีพในธุรกิจ

นอกจากนี้ จากประสบการณ์และความชำนาญที่บ่มเพาะมานานในธุรกิจบริหารหนี้ อีกทั้งเพื่อรองรับการเติบโตระยะยาว ทำให้ JMT ตัดสินใจต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจให้สินเชื่อบุคคล ทะเบียนรถยนต์ และนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งล้วนให้ผลตอบแทนสูง รวมไปถึงธุรกิจนายหน้ารับประกันภัยที่มีศักยภาพการทำกำไรสูงมากจากต้นทุนดำเนินการที่ต่ำโดยใช้เคริอข่ายสาขาของ JMART กว่า 255 แห่งทั่วประเทศเป็นหัวหอกเพื่อรุกธุรกิจ

 

ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2558-60 เติบโตถึง 35.9% p.a. (CAGR) ด้วยแรงขับเคลื่อนจากทั้งธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจต่อยอด โดยคาดปี 2560 จะเห็นสัดส่วนกำไรจากธุรกิจต่อยอดเพิ่มขึ้นมาที่ 27% ของกำไรสุทธิรวม จากที่ต่ำเพียง 7% ในปี 2558 และเนื่องจากอัตรากำไรสุทธิของธุรกิจต่อยอดที่อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับธุรกิจปัจจุบัน จึงทำให้ JMT ยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิในช่วงปี 2558-60 ไว้ได้ที่ราว 22-23% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลกระทบจากแผนการเพิ่มทุนล่าสุดที่เกิดขึ้นในปี 2558

ผนวกกับกำหนดให้มีการแปลงสภาพของวอแรนต์ทั้งจำนวนในปี 2559 จึงทำให้แนวโน้ม ROE อ่อนตัวลง แต่ฝ่ายวิจัยกลับมองผลกระทบไปในด้านบวกมากกว่า เพราะจะทำให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น (คาด D/E ratio ปี 2560 ยังใกล้เคียง 1 เท่า) อีกทั้งแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิที่เป็นไปในเชิงรุก จึงช่วยลดผลกระทบจาก dilution effect ของ EPS ไปได้มาก

 

แนะนำซื้อ ด้วยศักยภาพการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวที่เป็นไปในเชิงรุก จึงทำให้ JMT ซื้อขายที่ premium มาโดยตลอด (PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีอยู่ในช่วง 7.5 เท่า) ปัจจุบันซื้อขายที่ช่วง +1SD ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ SAWAD ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่ต่ำกว่า JMT แต่ซื้อขายที่ PBV ที่สูงเกินค่าเฉลี่ยไปถึง 2SD แล้ว กำหนดมูลค่าพื้นฐานปี 2558 ของ JMT เท่ากับ 24.50 บาท อิง PBV 5.25 เท่า ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 13% และการเติบโตระยะยาวที่ 11%

Back to top button