ผิดหวัง?

*สาเหตุที่ “โมนิก้า” จั่วหัวแบบนี้เพื่อหวังเตือนสติพวกแมงเม่าอ่อนหัด กับพวกแมงเม่าหัวโบราณที่เชื่อหุ้นบางตัวอย่างหักปักหัวปำ จนหลงลืมหลักการเล่นหุ้นที่แท้จริงเขาว่ากันด้วยเรื่อง ต้องทำกำไรให้ได้ทุกสถานการณ์ และอย่าไปถือโทษโกรธเคืองข่าวสารใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น เพราะตัวนักลงทุนเป็นคนกำหนดการเคาะขวาด้วยตนเอง ไม่ได้มีใครบังคับขู่เข็ญนะจะบอกให้


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*สาเหตุที่ “โมนิก้า” จั่วหัวแบบนี้เพื่อหวังเตือนสติพวกแมงเม่าอ่อนหัด กับพวกแมงเม่าหัวโบราณที่เชื่อหุ้นบางตัวอย่างหักปักหัวปำ จนหลงลืมหลักการเล่นหุ้นที่แท้จริงเขาว่ากันด้วยเรื่อง ต้องทำกำไรให้ได้ทุกสถานการณ์ และอย่าไปถือโทษโกรธเคืองข่าวสารใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น เพราะตัวนักลงทุนเป็นคนกำหนดการเคาะขวาด้วยตนเอง ไม่ได้มีใครบังคับขู่เข็ญนะจะบอกให้

*นอกจากนี้ยังอยากบอกพวกเกรียนคีย์บอร์ดให้รู้ว่า ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่ามาทำเป็นอวดดีในตลาดทุน เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นเวทีของนักเล่นที่มีความคิดเป็นของตัวเอง โดยใช้ข้อมูลข่าวสารจาก นสพ.ข่าวหุ้น เป็นหนึ่งในองค์ประกอบตัดสินใจซื้อขายหุ้น “โมนิก้า” ถึงรู้สึกรำคาญที่เห็นพวกนักเล่นรุ่นใหม่ชอบส่งเสียงร้องโอดโอย พร้อมกับโบ้ยให้เป็นความผิดของคนอื่นเป็นประจำเจ้าค่ะ

*ที่สำคัญคือพรายกระซิบได้บินไปพบผู้จัดการกองทุนต่างประเทศแห่งหนึ่ง เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทยในหลากหลายมิติ และหนึ่งในคำพูดที่สะดุดใจอย่างแรงก็คือ หากเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วรับกับคำว่า ขาดทุนไม่ได้!  ก็ไม่ควรเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้น เพราะจะทำให้ผู้เล่นรุ่นถัดไปอ่อนแอ่ทางความคิด และจะไม่รู้จักวิธีอ่านเกมธุรกิจอย่างทะลุปรุโปร่งนะจ๊ะ

*งานนี้เขายังฝากชมทีมงานของหนังสือพิมพ์ว่า ทำให้เขาตาสว่างจากหุ้นลิสซิ่งสีเทารายหนึ่ง และตัวเขาเองก็ไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของสื่อที่นำเสนอข่าวดังกล่าว แต่เขาแปลกใจที่สื่อที่เกี่ยวกับหุ้นเล่มอื่นๆ ทำไมถึงเงียบเป็นเป่าสาก “โมนิก้า” ถึงต้องยืนหยัดการทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องต่างๆ ต่อไปเหมือนเดิม เพราะเป็นหนทางเดียวที่ช่วยกระตุกต่อมความคิดแมงเม่าน่ะสิ

*ฉะนั้นการที่ดัชนีรูดลงมาปิดที่ 1,560.31 จุด ลบไป 7.71 จุด ด้วยมูลค่า 4.31 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของปัจจัยบวกที่ยังไม่มา ความวิตกกังวลเลยมากขึ้น จึงต้องเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บวกกับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 60 ก็ออกมาไม่สวยหรูอย่างที่คาดหวัง จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่นักเล่นพากันถอยกรูดอย่างไม่เป็นท่าไงล่ะค่ะ

*เหมือนกับในรายของเถ้าแก่น้อย TKN อุตสาห์สร้างโปรไฟล์สุดหรู พร้อมกับอัพเกรดตัวเองขึ้นมาอีกขั้น โดยใช้ทั้งหมด 1 ปีเต็มๆ จนทำให้ราคาหุ้นวิ่งจากระดับ 10 บาท ขึ้นไปถึง 30 บาท แต่ทันทีที่ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 60  ทำกำไรต่อหุ้นได้แค่ 0.12 บาท(เท่ากับปีก่อน) ก็ทำให้ขาใหญ่เกิดอาการผวาอย่างหนัก เพราะเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ไม่โต? จึงเทขายหุ้นออกมาแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ หุ้นถึงลงมากองอยู่ที่ 20.80 บาท ลบไป 2.80 บาท หรือลงไป 11.90% ด้วยมูลค่า 2.49 พันล้านบาท คงต้องถาม “เฮียไล้” กันเอาเองว่า..เฮียขายอ่ะป่าว..อิอิอิ

*เช่นเดียวกับหุ้นถุงยาง TNR โชว์ตัวเลขกำไรต่อหุ้นไตรมาส 1 ปี 60 แค่ระดับ 0.01 บาท มันทำให้กองทุนเกิดอาการห่อเหี่ยวสุดๆ และยังทำให้แมงเม่าจิตตกไปตามกันแบบนี้ ไม่มีใครอยากถือหุ้นต่อไปอย่างแน่นอน หุ้นถึงโดนสาดทิ้งอย่างไม่มีเยื้อใยตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนสุดท้ายลงเอ่ยที่ระดับ 22.20 บาท ลบไป 4.55 บาท หรือลงไป 17% ด้วยมูลค่า 270 ล้านบาท “โมนิก้า” สงสัยว่า สภาพศพจะไม่สวย เพราะหุ้นยังเทรดบน P/E 40 เท่า น่ะสิ

*เม้าท์ถึงเรื่องโอเว่อร์รีแอ๊คขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอย้อนกลับมาดูหุ้นเครื่องดื่มชูกำลัง CBG สักนิดหนึ่งดีกว่า เพราะการขึ้นเที่ยวก่อนเป็นผลมาจากกองทุนตัวแสบย้อนกลับเข้ามาเล่นใหม่ และการร่วงลงหนักในเที่ยวนี้ก็คงมาจากกองทุนไม่เอา หุ้นถึงรูดลงมาปิดที่ 62.25 บาท ลบไป 3.25 บาท หรือลงไป 4.95% ด้วยมูลค่า 730 ล้านบาท เดี๊ยนถึงอยากให้มองแนวรับแรก 60 บาทเอาอยู่ไหม? ถ้าเอาไม่อยู่ ก็ใส่เกียร์ถอยสุดตัวเลยดีกว่านะคะ

*กรณีเดียวกับหุ้น BANPU มีแต่เรื่องราวชวนปวดหัวตลอดเวลา แถมธุรกิจถ่านหินก็ครึ่งๆ กลางๆ เหมือนจะดี ส่วนราคาหุ้นในกระดานก็ออกลูกแทงกั๊กตลอด แถมกองทุนตัวแสบเริ่มลดพอร์ตอีกรอบ ราคาหุ้นถึงรูดลงมายืนอยู่ที่ 18.50 บาท ลบไป 0.70 บาท หรือลงไป 3.65% ด้วยมูลค่า 2.93 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ แต่ที่แย่กว่าคือ หากหลุดเส้นแนวรับ 200 วันที่ระดับ 18.20 บาท รับรองดูไม่จืดเจ้าค่ะ

*ส่วนหุ้นน่าลองอย่าง TU ก็แสดงให้เห็นว่า การเข้าเล่นสั้นๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีสุด เพราะการอ่อนตัวลงมาปิดที่ 21 บาท ลบไป 1.60 บาท หรือลงไป 7% ด้วยมูลค่า 900 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นการเพิ่มสถิติเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 1 ปีว่า แนวต้าน 23 บาทยากที่จะผ่านไปได้ วันนี้ถึงต้องดูว่า การลงมาปิดตรงแนวรับพอดีจะเกิดการรีบาวด์ให้เห็นหรือเปล่า?..หากไม่เด้งก็ตัวใครตัวมันเจ้าค่ะ

*ป.ล. การลงทุนวันนี้ไม่มีอะไรต้องคิดมาก เพราะสเต็ปการเล่นเป็นลักษณะ “เข้าเร็ว ออกเร็ว” ทุกอย่างยังตั้งอยู่บนความหวัง หากผลงานออกมาไม่เลิศสะแมนแตน ก็ต้องโดนเทกระจาดอย่างที่เห็นนั่นแหละ!

Back to top button