น่าห่วงฐานะการคลัง

3 ปีแห่งการปฏิรูปมานี้ แม้รัฐบาลทหารจะพยายามพร่ำบอกว่าเศรษฐกิจจะดี เศรษฐกิจจะฟื้นแล้ว แต่ก็นั่นแหละ หาคนเชื่อได้ยากมาก แม้กระทั่งกองเชียร์ด้วยกันเอง


ขี่พายุ ทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

3 ปีแห่งการปฏิรูปมานี้ แม้รัฐบาลทหารจะพยายามพร่ำบอกว่าเศรษฐกิจจะดี เศรษฐกิจจะฟื้นแล้ว แต่ก็นั่นแหละ หาคนเชื่อได้ยากมาก แม้กระทั่งกองเชียร์ด้วยกันเอง

แต่งบจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กลับเพิ่มพรวดพราด

รถถังจีน เรือดำน้ำจีน และก็เครื่องบินฝึกเกาหลี รวมแล้ว 3 ปีก็เป็นตัวเงินกว่า 7 หมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว เรียกว่า 3 เหล่าทัพ บก เรือ อากาศ ได้อาวุธยุทโธปกรณ์ไปครบถ้วนตามต้องการ

และก็ยังไม่แน่ใจว่า ยังจะมีรายการซื้อตกค้างอะไรอยู่อีกหรือไม่ ในขณะที่เศรษฐกิจก็ยังคงฝืดเคือง ไม่มีวี่แววฟื้นตัวเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ใช่ว่าจะมีแต่โครงการจัดซื้ออาวุธทางทหารเท่านั้น แต่ยังมีโครงการ “เมกะโปรเจ็กต์” ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ซึ่งถ้าทำเต็มโครงการ รัฐบาลนี้ก็เคยประกาศว่าจะต้องใช้เงินในราว 3 ล้านล้านบาทอีก

น่าคิดอยู่เหมือนกันว่า ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว รัฐบาลจะบริหารการก่อหนี้อย่างไร จะใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศและนอกประเทศเป็นสัดส่วนเท่าไหร่

ประการสำคัญที่สุดก็คือ ทำอย่างไรจะก่อหนี้ไม่ให้เกินเพดาน 60% ของจีดีพี อันยึดถือกันมาช้านานทุกรัฐบาลว่าเป็นกรอบแห่งความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

จีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเราเวลานี้ประมาณ 14.7 ล้านล้านบาท พูดง่ายๆ ก็คือเส้นอันตรายของฐานะการเงินการคลังประเทศ ต้องก่อหนี้ได้ไม่เกิน 8.8 ล้านล้านบาท

ปัจจุบัน หนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับ 43% ของจีดีพี คิดเป็นตัวเงิน 6.34 ล้านล้านบาท ก็ยังเหลือช่องว่างการก่อหนี้ให้เล่นได้อีก 17%

แต่ถ้าคิดเป็นตัวเงินก็ดูใกล้จะปริ่มๆ เอาการอยู่เพราะเหลือช่องว่างเพดานให้เล่นอยู่อีกแค่ 2.5 ล้านล้านบาทเท่านั้น

ยิ่งเมื่อคิดถึงอภิมหาโปรเจ็กต์แต่ละโครงการ ก็ล้วนเป็นโปรเจ็กต์ที่จะต้องก่อหนี้มหาศาล แต่ผลตอบแทนต่ำเตี้ยเรี่ยดินชนิดพึ่งพาตัวเองไม่ได้ คงจะต้องแบมือขอสนับสนุนจากรัฐบาลไปอีกนาน ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง

อย่างโปรเจ็กต์รถไฟไทย-จีน กรุงเทพฯ-โคราชมูลค่า 1.79 แสนล้านบาทอย่างเนี้ย ผมอยากจะเรียกว่าเป็นรถไฟจีนมากกว่า เพราะจีนสมประโยชน์ที่ได้ต่อเชื่อมเส้นทางจากลาวมายังไทย แต่ไทยเป็นผู้จ่ายเงินให้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ผลตอบแทนทางการเงิน FIRR อยู่แค่ 2.56% เท่านั้น ในขณะที่เกณฑ์ลงทุนตามกรอบสภาพัฒน์ต้องไม่ต่ำกว่า 12% เท่านั้น หากเกินกว่ากรอบนี้สภาพัฒน์เอาตายเลย หรือไม่ก็โยนโปรเจ็กต์ลงตะกร้าขยะไปได้เลย

ผลตอบแทนทางการเงินต่ำเตี้ยแค่นี้ ไม่ต้องดูอะไรมากก็รู้ได้พลันทันทีว่ามันเจ๊งแต่วันแรกแล้ว หากยืดเยื้อนานปีเข้ามันก็มีสิทธิจะเจ๊งได้มากกว่าจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ได้เหมือนกัน

แต่โครงการรถไฟจีนก็ได้รับยกเว้นผ่านทุกกฎกระทั่งปัญหาที่หมิ่นเหม่กับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต รวมทั้งกฎแห่งความโปร่งใสทั้งหลายแหล่ อาทิ พ.ร.บ.ร่วมการงานรัฐ-เอกชน ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างอันเสมอภาคและเป็นธรรม รวมทั้งสัญญาคุณธรรมที่จะต้องมีฝ่ายที่ 3 เข้าร่วมตรวจสอบการงานด้วย

คุณอานันท์ ปันยารชุน เจ้าตำรับโปร่งใส รวมทั้งองค์การคนดีต้านคอร์รัปชั่น ไปเงียบฉี่เป็นเป่าสากอยู่ที่ไหนเสียก็ไม่รู้

อย่างไรก็ตาม รองนายกฯสมคิดยังคงยืนยันว่า จะรักษากรอบยั่งยืนทางการคลังที่จะรักษาระดับการก่อหนี้ไม่ให้เกิน 60% ของจีดีพี แม้ไม่วายตัดพ้อว่าทีญี่ปุ่นยังก่อนหนี้สาธารณะได้เกิน 100%

แต่วิธีการรักษาระดับหนี้ไม่เกิน 60% ของท่านสมคิดนี่สิยังน่าสงสัย!

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีรายการเด้งผู้ว่าการทางพิเศษฯนายณรงค์ เขียดเดชไปประจำสำนักนายกฯอันเป็นตำแหน่งลอย

บ้างก็ว่านายณรงค์ไม่ผ่านการประเมินผลงาน แต่ข่าววงในว่ากันว่านายณรงค์ไปขวางการจัดตั้งกองทุน “ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์” ที่ต้องจ่ายผลตอบแทนผู้ถือหน่วยในระดับตั้ง 7-8% ในขณะที่การออกบอนด์หรือพันธบัตรธรรมดา จ่ายผลตอบแทนแค่ 3.5% เท่านั้น

ข้อแตกต่างอยู่ที่กองทุนฯไม่ต้องลงบันทึกเป็นหนี้สาธารณะ แต่ถ้าออกบอนด์ต้องบันทึกเป็นหนี้สาธารณะครับ

ผมกลัวจะใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุซ่อนหนี้สาธารณะเช่นนี้เหลือเกิน ซึ่งก็คงจะยิ่งเจ๊งหนักเพราะต้องจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าบอนด์หลายเท่านัก

 

Back to top button