ซื้อใจคนจน

"รัฐบาลที่ใจดีที่สุดในโลก” ซึ่งปฏิเสธประชานิยม ไม่รับจำนำไม่รับประกันราคาพืชผล ยอมให้คนเกลียด กำลังจะจัดงบ 40,000 ล้านบาท “แจกคนจน” โดยให้ค่าใช้จ่ายผ่านบัตรผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 2,750 บาท เป็นค่ารถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ค่าไฟฟ้าน้ำประปา และใช้จ่ายผ่านร้านธงฟ้าสะดวกซื้อ


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

“รัฐบาลที่ใจดีที่สุดในโลก” ซึ่งปฏิเสธประชานิยม ไม่รับจำนำไม่รับประกันราคาพืชผล ยอมให้คนเกลียด กำลังจะจัดงบ 40,000 ล้านบาท “แจกคนจน” โดยให้ค่าใช้จ่ายผ่านบัตรผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 2,750 บาท เป็นค่ารถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ค่าไฟฟ้าน้ำประปา และใช้จ่ายผ่านร้านธงฟ้าสะดวกซื้อ

เชื่อได้ว่า คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี ที่ชิงชังประชานิยม จะต้องแซ่ซ้องสรรเสริญ รัฐบาลช่วยคนจนตรงเป้า ไม่เหมือนจำนำข้าวที่ทำให้ชาวนาฆ่าตัวตาย

เอาเถอะครับ ถ้าช่วยคนจนได้จริงก็ดี ไม่มีใครว่าอะไรขอเพียงมีมาตรการรัดกุม ว่า 14 ล้านคนจนจริงๆ ไม่งั้นจะมีการจ้องจับผิด โวยกันไปทั่ว ทำไมคนนั้นได้คนนี้ไม่ได้ เพราะถ้าดูหลักเกณฑ์ตอนลงทะเบียน ก็ไม่ค่อยรัดกุมเท่าไหร่ ขอแค่อายุเกิน 18 ว่างงาน หรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ปรากฏว่าแม่บ้านที่สามีเงินเดือนหลายหมื่น บางคนก็เข้าข่าย

แม้กระทั่งนักศึกษามหาวิทยาลัย พ่อแม่รวยแค่ไหน ถ้าไม่มีชื่อเป็นเจ้าของรถ เจ้าของบัญชี ก็ลงทะเบียนคนจนได้หมด

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเกษตรกรปลูกยางพารา ที่ถูกว่าเป็นเต่าล้านปี เกษตรกรปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด สับปะรด มังคุด ลำไย ฯลฯ ที่รัฐบาลยืนกรานไม่พยุงราคา ก็ระวังจะน้อยเนื้อต่ำใจกันไปใหญ่

พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เห็นผลงาน รัฐบาลนี้ทุ่มช่วยเกษตรกร ช่วยคนจน เทเงินลงชนบท แบบที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คุยว่าช่วยคนจนไปแล้ว 9 แสนล้าน มากยิ่งกว่าจำนำข้าวเพียงแต่รัฐบาลนี้ไม่ยอมประกันหรือจำนำ ไม่เอาอย่าง “ประชานิยม” แต่เอาเงินไปใช้อีกทาง แบบ “จ้างเลิกปลูกข้าว” ให้เงินไร่ละพันสองพัน เปลี่ยนไปปลูกพืชอย่างอื่น จ้างงานเพื่อให้งดทำนาปรัง จ้างเก็บผักตบชวา จ้างทำลานตากข้าว จ้างทำปุ๋ยอินทรีย์ ฯลฯ คล้ายๆ “งบมิยาซาวา” บวกกองทุนหมู่บ้าน บวกเช็คช่วยชาติ

ปัญหามีข้อเดียว คือมันเป็นการคิดและทำโดยระบบราชการ ในยุคชาวบ้านไร้ปากเสียง งบจำนวนหนึ่งจึงสูญเปล่า ไม่เข้าเป้า ไม่มีประสิทธิภาพ แถมมีเงินทอนอีกต่างหาก

มองในภาพกว้าง ตั้งแต่ประชารัฐมาถึงการแจกเงิน ก็คือความพยายามของรัฐบาลทหาร ที่จะ “ซื้อใจคนจน” พร้อมกับทำโครงการต่างๆ เอาใจภาคธุรกิจ และ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” เอาใจคนชั้นกลาง แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความเข้มแข็งให้รัฐราชการ

ทั้งหมดนี้คือความพยายามตัดนักการเมือง การเลือกตั้ง ออกจากสารบบ ก้าวไปสู่ประเทศในฝัน แบบจีน แบบสิงคโปร์ แม้ต่อไปมีเลือกตั้ง ก็เป็นแค่พิธีกรรม นักการเมืองถูกกำหนดให้เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น

ที่สำคัญ ยังเป็นความพยายามจะแก้ไขปัญหาความแตกแยกทางการเมือง แบ่งขั้วแบ่งฝ่ายยืดเยื้อมายาวนานสิบกว่าปี ด้วยวิธีคิดว่า ต้องแก้ประชานิยมด้วยประชารัฐ ทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปาก มีกินมีใช้ แล้วจะปกครองได้ไม่ถูกต่อต้าน ไม่เกิดการเรียกร้องประชาธิปไตย

เอางั้นนะ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแก้ปัญหาปากท้องได้จริงไหม แต่คิดผิดละมั้งที่เชื่อว่าความแตกแยกเกิดเพราะชาวบ้านยากจน ไม่มีเงินใช้ ต้องรับจ้าง 1,500

ความแตกแยกมันเกิดจากความไม่พอใจการใช้อำนาจ ความคับแค้นต่อความอยุติธรรมต่างหาก  ความพยายามแก้ปัญหาโดยอำนาจบังคับ ใช้สิ่งที่เรียกว่า “กฎหมาย” กำจัดนักการเมืองที่ประชาชนนิยม แล้วบอกจะช่วยแก้ปากท้อง ไม่ว่าจะแก้ได้หรือไม่ ความคับแค้นก็ยังฝังใจ

Back to top button