INGRS ขึ้นสังเวียนเทรด ลุ้นวิ่งแตะเป้า 1.90 บาท

INGRS ขึ้นสังเวียนเทรด ลุ้นวิ่งแตะเป้า 1.90 บาท จากราคา IPO ที่ 1.33 บาท ชูจุดเด่นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับอาเซียน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (9 ส.ค.) บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ INGRS จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม / ยานยนต์ เสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 578,442,900 หุ้น ที่ราคา IPO หุ้นละ 1.33 บาท

โดยประกอบด้วยหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 261,562,500 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นของบริษัท คือ บริษัท อิงเกรส คอร์ปอเรชั่น เบอร์ฮาด (ICB) จำนวนไม่เกิน 316,880,400 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัท และบริษัทย่อย, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และบริษัท และใช้คืนเงินกู้ของบริษัท และบริษัทย่อย

อนึ่ง อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) ลงทุนและถือหุ้นในบริษัทอื่น โดยไม่มีการประกอบธุรกิจหลักเป็นของตนเอง (Holding Company) โดยบริษัทมีการลงทุนในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจในการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ (Automotive Components Manufacturing: ACM Business) ในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย

โดย ณ วันที่ 31 ต.ค.2558 บริษัทมีการลงทุนและถือหุ้นทั้งโดยทางตรง และโดยทางอ้อมในบริษัทย่อยทั้งหมด 7 บริษัท ได้แก่ บริษัทฯย่อยที่บริษัทถือหุ้นโดยตรง ได้แก่ บริษัท อิงเกรส ออโตเวนเจอร์ (IAV),  บริษัท ไฟน์ คอมโปรแนนท์ (ประเทศไทย) หรือ FCT และบริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ประเทศมาเลซีย) เอสดีเอ็น บีเอชดี (IIM) และบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นทางอ้อม ประกอบด้วย บริษัท อิงเกรส เทคโนโลจีส์ เอสดีเอ็น บีเอชดี (ITSB), บริษัท อิงเกรส พรีซิชัน เอสดีเอ็น บีเอชดี (IPSB) ,  บริษัท พี.ที.อิงเกรส เทคโนโลจีส์ อินโดนีเซีย (PT ITI) และบริษัท พี.ที.อิงเกรส มาลินโด เวนเจอร์ (IP IMV)

ด้าน นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระ INGRS เปิดเผยว่า จุดเด่นของ INGRS คือ การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับอาเซียน ซึ่งผลิตสินค้าส่งออก โดยมีการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 20 ปี และมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย ,มาเลเซีย ,อินโดนีเซีย และอินเดีย

โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ใน 4 ประเทศดังกล่าวถือว่ายังมีการเติบโตในอัตราที่สูง โดยเฉพาะอินโดนีเซียและอินเดีย ที่คาดจะเติบโตได้ราว 10-12% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 65 ล้านคน เริ่มมีการขยายตัวทางครอบครัวและมีการพูดถึงรถยนต์คันที่ 2 อีกทั้งมาเลเซียก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง

ประกอบกับ บริษัทมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทั้งผู้ประกอบการในญี่ปุ่นและเกาหลีที่จะเข้ามาถ่ายทอดความรู้ในการพัฒนาสินค้าให้มีความทันสมัย ตอบรับกับความต้องการของลูกค้า

พร้อมกันนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เป็นไปตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย และความต้องการของตลาดอาเซียน รวมถึงประเทศคู่ค้าของอาเซียนที่มีการเติบโตในอัตราเร่ง โดยงบปี 60 สิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค.60 บริษัทมีรายได้รวม 2,915.90 ล้านบาท และกำไรสุทธิ (ก่อนหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมบริษัทย่อย) ที่ 210.40 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการประจำปี 59 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 164.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 112.01 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/60 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 228.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.71 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า กลุ่มบริษัทฯ มีโรงงานใน 4 ประเทศหลัก คือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ อินเดีย  จึงเป็นตัวแทนอุตสาหกรรมรถยนต์อาเซียน ที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในปี 2561/62 จะเติบโตโดดเด่นมากขึ้นจากคำสั่งซื้อใหม่ จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 233 ล้านบาท ( เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทางบริษัทฯได้เสนอขาย IPO จำนวน 578 ล้านหุ้น เป็นหุ้นใหม่ 261 ล้านหุ้น และ จากผู้ถือหุ้นเดิม ICB 316 ล้านหุ้น

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตและจำหน่ายส่วนโครงสร้างตัวถังยานยนต์และชิ้นส่วนตัดแต่ง ของตลาดยานยนต์ในระดับภูมิภาค มีโรงงานใน 4 ประเทศหลัก คือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ อินเดีย ทำให้มีความได้เปรียบในลักษณะเป็น Global bidding  มีความยืดหยุ่นในการจัดการด้านวัตถุดิบ การบริหารจัดการแม่พิมพ์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ทำให้อยู่ในฐานะได้เปรียบ ที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน

โดยทางบริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อใหม่ โดยเฉพาะ ประเทศมาเลเซีย ค่ายรถ Proton ได้พันธมิตรจากจีนเข้ามาร่วมลงทุน รวมถึงการเติบโตของ Perodua จากคำสั่งซื้อใหม่ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย และ มาเลเซีย  โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียยังมีการเติบโตที่ดี ฝ่ายวิจัยคาดจะทำให้ยอดขายของบริษัทฯในปี 2560/2561 ฟื้นตัว 7% เป็น 3,120 ล้านบาท  และมีกำไรเท่ากับ 180 ล้านบาท ฟื้นตัว 6% โดยเฉพาะในปี 2561/2562 จะเติบโตโดดเด่นมากขึ้นจากคำสั่งซื้อใหม่ ของค่ายรถยนต์ Proton และ Perodua คาดยอดขายจะเติบโต 13% สู่ระดับ 3,526 ล้านบาท และ ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 233 ล้านบาท เติบโต 29%

ทั้งนี้ ฝ่ายประเมินราคาเป้าหมายของ INGRS ที่ 1.90 บาทต่อหุ้น โดยประเมินราคาเหมาะสมของบริษัทด้วยวิธี P/E ปี 2561/2562 เท่ากับ 12 เท่า เช่นเดียวกับหุ้นอื่นๆในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นระดับ Average P/E + 1SD จะได้ราคาเป้าหมายเท่ากับ 1.90 บาท  ที่ราคาจองซื้อ 1.33 บาท จะซื้อขายด้วย P/E ปี 2560/2561 ที่ 10.7 เท่า และ จะลดลงเหลือ 8.3 เท่าในปี 2561/2562 และเงินปันผลตอบ ปี 2560/2561 เท่ากับ 3.7% และ จะเพิ่มเป็น 4.8% ในปี 2561/2562

Back to top button