ผลงาน บจ.mai ถดถอยหนัก รายงานกำไรปี 60 ทรุดฮวบ 14%

บจ.mai เข้าขั้นวิกฤติ กำไรปี 60 วูบ 14% จับตาผจก.คนใหม่ปั้นผลงานเข้าตา


นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 143 บริษัท จากทั้งหมด 151 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ไม่นำส่งงบการเงินตามกำหนด) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 60 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 105 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

โดยมียอดขายรวม 158,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.06% ต้นทุนรวม 121,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.43% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.80% เป็น 23.20% ส่วนกำไรสุทธิรวม 4,966 ล้านบาท ลดลง 13.54% 

“ผลการดำเนินงานของ บจ.mai ในปี 60 ยังมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อัตราการทำกำไรลดลง รวมถึงบาง บจ. มีบันทึกขาดทุนจากรายการพิเศษ ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมลดลง” นายประพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโต ซึ่งในจำนวนนี้มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิรวมเติบโตขึ้นด้วย ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี  โดย 5 บจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในปีนี้ คือ บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) บมจ. บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) และ บมจ. บางกอก เดค-คอน (BKD) ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังพบ 63 บริษัทที่มีกำไรสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ปี 58-60 (ไม่นับรวม บจ. ใหม่ที่เข้าจดทะเบียนปี 59-61) และในจำนวนนี้มี 20 บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานงวด ไตรมาส 4/60 บจ. mai มียอดขาย 42,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.09% และมีกำไรสุทธิ  1,045 ล้านบาท ลดลง 14.76% จากไตรมาสที่แล้ว สิ้นปี 60 บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 253,106 ล้านบาท เติบโต 28,030 ล้านบาท หรือ 12.45% จากปีก่อนหน้า ซึ่งหากพิจารณาส่วนของโครงสร้างเงินทุนรวม ยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio อยู่ในระดับ 0.97 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 59 ที่ 1.06 เท่า

โดยปัจจุบันมี บจ.ใน mai 151 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มี.ค.61) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 494.31 จุด ลดลง 8.52% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 310,868 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,799 ล้านบาทต่อวัน

 

อนึ่งก่อนหน้านี้ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. เผยบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 60 กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในปี 2561 น่าจะทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง (นิวไฮ) จากปี 2560 มีกำไรสุทธิ 9.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.05% เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงเริ่มเห็นธุรกิจค้าปลีก โรงพยาบาลมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่วน D/E ลดลงมาที่ 1.14 เท่า

โดยมียอดขายรวม 11.01 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.72% จากปี 2559 และมีกำไรสุทธิรวมทั้ง SET และ mai อยู่ที่ 9.86 แสนล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ หรือเพิ่มขึ้น 9.05% จากปี 2559 ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานในหมวดพลังงาน และสาธารณูปโภคที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิของหมวดธนาคารพาณิชย์อาจจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องมาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2560 จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ บจ. มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งด้านยอดขาย และกำไร โดย บจ. มีกำไรสุทธิ 2.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.26% จากไตรมาส 4/2559 และเพิ่มขึ้น 20.47% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2560 ขณะที่ยอดขายไตรมาส 4/2560 อยู่ที่ 2.9 ล้านล้านบาท

ส่วนความสามารถด้านการทำกำไรของ บจ. อ่อนตัวเล็กน้อย โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 23.96% ลดลงจาก 24.71% ในปี 2559 และมีอัตรากำไรสุทธิ 8.92% ลดลงเล็กน้อยจาก 8.98% ขณะที่โครงสร้างเงินทุนของ บจ. ยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ณ สิ้นปี 2560 อยู่ที่ 1.14 เท่า ลดลงจาก 1.24 เท่า ในช่วงสิ้นปี 2559

ทั้งนี้ ในปี 2560 นอกจาก บจ.ในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคที่มีผลประกอบการดีขึ้นแล้ว เศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยทั้งปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวที่ 4% จากการส่งออกสินค้าและบริการ ขณะที่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของ บจ. ให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ หมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดพาณิชย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มีการเติบโตทั้งด้านยอดขายและกำไรสุทธิ รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากปี 2559

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 4.97 พันล้านบาท ลดลง 13.54% เมื่อเทียบกับปี 2559 ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.80% เป็น 23.20%

โดย การที่ผลการดำเนินงานของ บจ.ใน mai ลดลง เป็นผลมาจากการที่มีบางอุตสาหกรรมไม่ได้เติบโตควบคู่ไปกับเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้กำไรไม่ได้เติบโตตามไปด้วย

Back to top button