TLUXE มั่นใจปีนี้เทิร์นอะราวด์ บันทึกรายได้โรงไฟฟ้าเต็มสูบ พร้อมลุยตั้งกองทุนIFFในญี่ปุ่น

TLUXE มั่นใจปีนี้เทิร์นอะราวด์ บันทึกรายได้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ 56 โครงการ กำลังการผลิตเทียบเท่าโซลาร์ฟาร์ม 56 MW พร้อมลุยตั้งกองทุน IFF ในญี่ปุ่น หนุนศักยภาพการลงทุน-เพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจ


นายสุวิทย์ วรรณะศิริสุข ผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TLUXE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำ Geothermal Energy รายใหญ่ที่สุด ในเมืองเบปปุ จ.โออิตะ ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนเปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในปีนี้ จำนวน 32 โครงการ ไม่นับรวมโครงการที่ COD พร้อมรับรู้รายได้แล้ว ในปี 2560 จำนวน 15 โครงการ

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เตรียม COD โรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2560 เพิ่มอีก 9 โครงการ ภายในเดือนเม.ย.-พ.ค.2561 ส่งผลให้ภายในปี 2561 จะมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ รวมทั้งสิ้นจำนวน 56 โครงการ หรือกำลังการผลิตเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 56 เมกะวัตต์

ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม บริษัทฯ มีแผนเปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) จำนวน 20 ยูนิต โดยจะเริ่มทยอยเปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนพ.ค. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งไม่นับรวมโครงการที่เปิดดำเนินการ COD แล้ว จำนวน 7 ยูนิต ในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งสิ้น 27 ยูนิต โดยมีอัตราขายไฟฟ้าอยู่ที่ 55 เยน/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 20 ปี

จากแผนการขยายการลงทุนของ TLUXE ในปีนี้ เชื่อว่าผลการดำเนินงานของบริษัมจะกลับมาTurnaround ภายในปีนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทฯจะรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า ในประเทศญี่ปุ่น ที่ผลิตเเละขายไฟฟ้าให้กับ Kyushu Electric ได้เเล้ว ประกอบการบริษัทฯยังเร่งเดินหน้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม  ในอัตราขายไฟฟ้าสูงสุด 55 เยน/กิโลวัตต์  ถึง 20 ปี”นายสุวิทย์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาแผนความเป็นไปได้ ในการจัดตั้งกองทุน และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศญี่ปุ่น

โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ เนื่องด้วยรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าการตั้งกองทุน Infrastructure Fund จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพทางการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

“กองทุน Infrastructure Fund เราต้องศึกษาอย่างรอบคอบ รวมทั้งการเปิด COD ของโครงการโรงไฟฟ้าเดินหน้าได้ตามแผนมากขึ้น เพื่อสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่โดดเด่นเมื่อออกกองทุน ซึ่งคาดว่าในเร็วๆ นี้ จะสามารถสรุปความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนได้ ” นายสุวิทย์ กล่าว

ด้านธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยงนั้น ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/61 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกุ้ง จากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กุ้ง และ ปลาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ยอดขายทั้งปี จะเติบโตได้ประมาณ 33% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่ระดับ 1,800 ล้านบาท มาแตะที่ระดับ 2,400 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการลงทุนในโครงการ Pet Center แบบครบวงจร เพื่อต่อยอดธุรกิจด้านอาหารสัตว์เลี้ยง โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเป็นรูปแบบ Franchise ตั้งแต่ขนาด เล็ก กลาง และใหญ่

รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ต่อการลงทุนในลักษณะการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าอาหารสัตว์ หลังมองแนวโน้มการเติบโตในอนาคต คาดว่าโครงการจะเปิดได้ภายในปีนี้

Back to top button