เปิด 5 หุ้น mai ราคาสุดสตรอง! ชู TITLE แชมป์หุ้นวิ่งในรอบ 5 เดือน

เปิด 5 หุ้น mai ราคาสุดสตรอง! ชู TITLE แชมป์หุ้นวิ่งในรอบ 5 เดือน


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(mai) ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาหุ้นตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.60-31 พ.ค.61 โดยช่วงดังกล่าวมีหุ้นปรับตัวขึ้นสวนทางดัชนีตลาดขาลงชดเจน โดยดัชนีตลาดหุ้น mai ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 9.98% จากยืนที่ระดับ 540.37 จุด (29 ธ.ค. 60) ลดลง 79.49 จุด มาอยู่ที่ระดับ 460.88 จุด (30 พ.ค.61)

ทั้งนี้หากสังเกตดัชนีเนื่องจากภาพรวมตลาดในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่องโดยเห็นได้จากวันที่ 1ม.ค.-8 มิ.ย.61 นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิรวม 162,863 ล้านบาท ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อีกทั้งนักลงทุนทยอยปิดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ และนักลงทุนขายลดความเสี่ยงสถานการณ์ในซีเรียทำให้ภาวะตลาดหุ้น mai เป็นขาลงมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามการนำเสนอข้อมูลครั้งนี้จะเลือกนำเสนอราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่น 5 อันดับแรก โดยหุ้นที่คัดเลือกมาปรับตัวขึ้นแรงสวนภาวะตลาดฯ ตามตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 74.58% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.58 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 6.25 บาท (31 พ.ค.61) คาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการปีนี้จะออกมาโดดเด่นส่งผลให้ 5 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

ด้าน นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายธุรกิจภายใน 5 ปี (2561-2565) พร้อมก้าวเป็นเบอร์หนึ่ง “อสังหาฯทางเลือก” ของจังหวัดภูเก็ต สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

โดยวางเป้ารายได้ในปี 2561 – 2562 เติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 100% เมื่อเทียบจากปี 2560 โดยรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 600 ล้านบาท และ 900 ล้านบาทตามลำดับ พร้อมกันนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 40% และรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 20%

โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายรอการโอน (Backlog) อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทฯยังมียอดรอการขายอีก 600 ล้านบาท สำหรับแผนธุรกิจปีนี้บริษัทฯวางแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 2,500-3,000 ล้านบาท พร้อมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 300-400 ล้านบาท เพื่อรองรับโครงการใหม่ในอนาคตและเพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทฯอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

 

อันดับ 2 บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 44.50% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.91 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 2.79 บาท (31 พ.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก อีกทั้งหุ้นเป็นขาลงมานานทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรทางเทคนิคเข้ามาสนับสนุน

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PIMO ปี 61 คาดกำไรฟื้นตัว 56.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามกำลังซื้อในประเทศที่ดีขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาลดลงแต่ด้วยความล่าช้าของโครงการ VSM และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นกดดันศักยภาพทำกำไรให้ไม่สดใสเหมือนก่อนทำให้ช่วงสั้นยังไม่น่าสนใจลงทุน

 

อันดับ 3 บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.90% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 2.34 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 3.18 บาท (31 พ.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรแผนธุรกิจที่ออกมาโดดเด่นและทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง

ด้านนายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องหนี้ด้อย คุณภาพแบบไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร ประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต มูลค่า 7,952 ล้านบาท จากธนาคารยูโอบี เข้ามาเสริมศักยภาพธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในปีนี้ให้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท

จากผลงานที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี บริษัทฯ ยังคงใช้งบลงทุนสำหรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพปีนี้ราว 500-600 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนการขายสินทรัพย์ที่มีหลักประกันในพอร์ตออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาส 2-3/2561 สนับสนุนรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 206.56 ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท เชอร์วู้ด เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.76% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 17.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 22.40 บาท (30 พ.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตามแผนธุรกิจออกมาโดดเด่นและตัวเลขผลประกอบการออกมาสดใสทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

ด้านนายสิริณัฏฐ์ ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) (SWC) วางทิศทางธุรกิจ 5 ปี (61-65) รายได้จะขึ้นไปทะลุ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,385 ล้านบาท โดยบริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ พร้อมปรับปรุงสินค้าและภาพลักษณ์แบรนด์ “เชนไดร้ท์” “ทีโพล์” และ “เชนการ์ด” ให้ทันสมัยเป็นที่จดจำของผู้บริโภคเป็นแบรนด์คุณภาพของคนไทยมากขึ้น ขณะที่เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น

ขณะที่บริษัทวางเป้าหมายที่จะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 12% ในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ จากปีก่อนอยู่ระดับ 12.75% โดยบริษัทฯจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนทั้งเรื่องของวัตถุดิบในการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขาย

สำหรับการปรับกลยุทธ์ครั้งนี้บริษัทวางงบลงทุนราว 100 ล้านบาท เริ่มจากแบรนด์ “เชนไดร้ท์”ในฐานะผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์กำจัดมด แมลงสาป ยุง ปลวก ที่มีคุณภาพสูงสุด ได้ส่งผลิตภัณฑ์สูตรปรับปรุงประสิทธิภาพที่ผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมปรับแพคเกจจิ้งให้มีความทันสมัย ทำการตลาดเชิงรุกผ่านการออกแคมเปญและโปรโมชั่นตลอดทั้งปี คาดว่าจะทำให้เชนไดร้ท์มีอัตราการเติบโตราว 5 % นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมจับมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือสังคมร่วมกันกำจัดยุงลายและแมลงต่างๆ ในชุมชนแออัดกว่า 20 แห่งให้ปลอดภัยจากไข้เลือดออกตลอดเดือน พ.ค.-มิ.ย.61

ในส่วนของแบรนด์ทีโพล์ บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่”ทีโพล์ เลมอน พาวเวอร์”ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานสูตรใหม่ที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า พร้อมปรับโฉมผลิตภัณฑ์ให้สวยงามมากขึ้น รวมถึงดึงกาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ ในฐานะตัวแทนแม่บ้านยุคใหม่ที่ฉลาดเลือก โดยใช้งบประมาณทางการตลาดกว่า 40 ล้านบาทในการทำกลยุทธ์ทั้งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อออนไลน์ วิทยุ และทีวี รวมถึงเดินสายแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มจาก 1% ในปี 60 เป็น 5% ในปี 61 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในปี 65 จากปัจจุบันมูลค่าตลาดน้ำยาล้างจานโดยรวมอยู่ที่ราว 4,200 ล้านบาท

บริษัทยังเตรียมรุกตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการดำเนินธุรกิจทั้งสินค้าประเภทเคมีและเคหะภัณฑ์ไปยังตลาดใหม่ คือ แอฟริกา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกัน จะเพิ่มไลน์สินค้าในประเทศที่บริษัททำตลาดอยู่แล้วอย่าง ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา และ พม่า เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในปี 65 จากขณะนี้อยู่ที่ 11%

ปัจจุบัน บริษัทฯมีสินค้าอยู่ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลง เชนไดร้ท์ คิดสัดส่วนรายได้เป็น 60% 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทีโพล์ คิดสัดส่วนรายได้เป็น 15% 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง เชนการ์ด คิดสัดส่วนรายได้เป็น 20% และ 4. กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10%

นายสิริณัฏฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังได้มีการเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และต่อยอดธุรกิจเดิม แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆ นี้ โดยบริษัทมีเงินทุนเพียงพอในการลงทุนใหม่ๆ เนื่องจากมีเงินสดอยู่ในมือกว่า 400 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.2-0.3 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก

 

อันดับ 5 บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.57% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 2.80 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 3.32 บาท (31 พ.ค.61)  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงตามแผนธุรกิจที่โดดเด่นและพื้นฐานสดใสทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา

โดยเฉพาะแผนเพิ่มทุน PP ให้กับบมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ในกลุ่มบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ราคาหุ้นละ 3.30 บาท ระหว่างวันที่ 20-23 มิ.ย.61 และเสนอขายให้กับนายสิวาชัย กลิ่นสุคนธ์ ที่ราคาหุ้นละ 3.30 บาท ระหว่างวันที่ 20-23 มิ.ย.61ยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงแรงช่วงดังกล่าว

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button