KCE น่าเก็บ! ลุ้นกำไร Q2/61 โตเด่นรับคำสั่งซื้อทะลัก โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้า 39.75 บ.

KCE น่าเก็บ! ลุ้นกำไร Q2/61 โตเด่นรับคำสั่งซื้อธุรกิจยานยนต์ทะลัก ฟากโบรกฯเชียร์ "ซื้อ" เคาะเป้า 39.75 บ. ฟาก ผบห.ปักธงรายได้ปี 61 โต 25% รับแผนขยายธุรกิจเต็มกำลัง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE หลังบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 เติบโต 25% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจยานยนต์

ทั้งนี้ ราคาหุ้น KCE ปิดตลาดฯ วานนี้ (21 มิ.ย. 61) ที่ระดับ 37 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 4.23% สูงสุดที่ระดับ 37.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 36 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 517.37 ล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น KCE ในราคาเป้าหมาย 39.75 บาทต่อหุ้น หลังเริ่มมีปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท และการปรับลดลงของราคาทองแดงที่เป็นต้นทุนสำคัญ พร้อมคาดว่าปัญหาคอขวดในการผลิตจะคลี่คลายในช่วงที่เหลือของปีจากการทยอยติดตั้งเครื่องจักรใหม่เริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย.

ทั้งนี้ ด้วยคำสั่งซื้อและ backlog ที่แข็งแกร่ง กอปรกับคาดการณ์ที่ว่าเงินบาท/ดอลลาร์ฯ จะอ่อนค่าลงในปี 62/63 จึงประเมินอัตราการเติบโตด้านกำไรที่แข็งแกร่งที่ระดับ 38%

ด้านนางธัญรัตน์ เทศน์สาลี ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและบริหาร KCE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโต 12-15% จากปีก่อน เป็นไปตามคำสั่งซื้อสินค้าที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงมาจากกลุ่มลูกค้าในธุรกิจยานยนต์เป็นหลัก

ขณะเดียวกันก็มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก ในส่วนของโรงงานแห่งใหม่ที่ลาดกระบัง เฟส 3 โดยบริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ คาดว่าจะส่งผลทำให้กำลังการผลิตในไตรมาส 2/61 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.5 ล้านตารางฟุต/เดือน และน่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกในครึ่งปีหลังมาอยู่ที่ 1.7 ล้านตารางฟุต/เดือน จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1.3 ล้านตารางฟุต/เดือน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 95%

“เรามีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันก็อยู่ในช่วงของเฟสที่ 3 เพื่อรองรับการผลิตสินค้า High Density Interconnect (HDI) ซึ่งยังมีความต้องการสูง โดยเราตั้งเป้าจะมียอดขาย HDI เติบโต 20% ในปีนี้ จากปีก่อนที่มียอดขายเติบโตประมาณ 5-6% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด” นางธัญรัตน์ กล่าว

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/61 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง ซึ่งบริษัทถือว่ามีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมาถึง 95% และอีก 5% จะเป็นการจำหน่ายในประเทศ ประกอบกับต้นทุนราคาวัตถุดิบทองแดงในปีนี้ทรงตัว น่าจะส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปีนี้อาจจะไม่ได้เติบโตมากนัก เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลัง เนื่องจากเครื่องจักรใหม่จะเข้ามาในไตรมาส 2/61 และจะสามารถ ramp up capacity ได้ในครึ่งปีหลังเป็นต้นไป

Back to top button