พาราสาวะถี

กลายเป็นนกแก้วนกขุนทองที่ท่องจำหรือไม่ก็เพราะมีทีมงานเขียนสคริปต์ให้ได้เท่านี้ ไม่ว่าเวทีใดเราก็จะได้เห็นผู้นำประเทศ ทั้งออกมาปฏิเสธ ขอความร่วมมือและอวดอ้างผลงานสารพัด ซึ่งก็มีแต่เรื่องเดิม ๆ เหมือนล่าสุดไปขึ้นเวทีเปิดการประชุม “CLMVT FORUM 2018” นอกเหนือจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับงานแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังย้ำในสิ่งที่พูดทุก ๆ เวที


อรชุน

กลายเป็นนกแก้วนกขุนทองที่ท่องจำหรือไม่ก็เพราะมีทีมงานเขียนสคริปต์ให้ได้เท่านี้ ไม่ว่าเวทีใดเราก็จะได้เห็นผู้นำประเทศ ทั้งออกมาปฏิเสธ ขอความร่วมมือและอวดอ้างผลงานสารพัด ซึ่งก็มีแต่เรื่องเดิม ๆ เหมือนล่าสุดไปขึ้นเวทีเปิดการประชุม “CLMVT FORUM 2018” นอกเหนือจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับงานแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังย้ำในสิ่งที่พูดทุก ๆ เวที

เรื่องการปฏิเสธคือการออกกฎหมายต่าง ๆ ยังคงยืนยันไม่ได้เอื้อประโยชน์คนรวย พร้อม ๆ กับชูผลงานของรัฐบาลเผด็จการว่าพยายามแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับเกษตรกร ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ท่านผู้นำจะพูดโดยตลอด แต่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังคือ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องประชาชนได้อยู่ดีกินดีได้หรือไม่ และได้อย่างไร

นอกจากนั้นยังมีการเรียกร้องให้ภาคเอกชนและนักวิชาการหยุดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้ยิ่งมองไม่เห็นว่าทั้งสองส่วนดังกล่าวจะเข้ามามีบทบาทในรูปแบบไหน เพราะความเป็นจริงของสถานการณ์ความขัดแย้งจนทำให้เกิดคณะเผด็จการ คสช. ต้นตอไม่ได้อยู่ที่ภาคเอกชนหรือนักวิชาการ หากแต่อยู่ที่ฝ่ายการเมืองบางพวก นักวิชาการบางฝ่ายไปสมคบคิดกับอำนาจนอกระบบเพื่อล้มระบอบทักษิณนั่นต่างหาก

หากยังไม่ยอมรับความจริงว่าวิกฤติของประเทศที่เกิดขึ้นจนทำให้เกิดคณะรัฐประหารชูคออยู่ในอำนาจอย่างเช่นทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ถูกจัดสร้างขึ้นเพื่อหวังผลอย่างชัดเจน นั่นก็เท่ากับเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด อุดช่องโหว่ สมานแผลของความขัดแย้งแตกแยกไม่ตรงจุด ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การสร้างความปรองดองจะเป็นจริงได้

อีกประการที่ได้ยินกันทุกเวทีที่ผู้นำไปพูดคงหนีไม่พ้นเรื่องการขอความร่วมมือประชาชนให้เลือก ส.ส.แบบใหม่ อย่าไปเลือกคนเก่าก็จะได้แบบเก่า ๆ เข้ามา ตรงนี้เจตนาชัดเจนสิ่งที่พูดนั้นต้องการอะไร แต่คำถามตัวโตที่จะย้อนไปถึงท่านผู้นำก็คือ จะให้ชาวบ้านเลือกของใหม่แล้วไฉนจึงปล่อยให้นอมินีไปไล่ดูดอดีต ส.ส.ของพรรคการเมืองต่าง ๆ ด้วยเล่า

กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาฉันท์ใด ความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองสามมิตรก็บ่งบอกความปรารถนาขององคาพยพแห่งอำนาจในปัจจุบันฉันท์นั้น ความต้องการอย่างแรงกล้าคือการกลับมามีอำนาจอีกรอบ โดยใช้กระบวนการเลือกตั้งฟอกคราบไคลเผด็จการให้หมดไป ลำพังตั้งพรรคใหม่ใช้คนใหม่ลงเลือกตั้งก็เกรงว่าโอกาสแพ้อยู่แค่เอื้อม จึงต้องใช้วิธีการสะสมนักการเมืองที่ตัวเองพูดมาตลอดเวลาแห่งการครองอำนาจว่าชั่วว่าเลว มาเป็นบันไดก้าวไปสู่อำนาจดังว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องแทงกั๊กหรืออ้างว่ารอให้ถึงเวลาแล้วจะประกาศความชัดเจน คนที่ไม่ยึดติดอยู่ในอำนาจและไม่มีวาระซ่อนเร้น เมื่อถูกถามและจี้อยู่เป็นประจำย่อมสามารถที่จะแสดงจุดยืนเพื่อลบความเคลือบแคลงต่าง ๆ เหล่านั้นให้หมดไป แต่เมื่อไม่ตอบและยังมีท่าทีส่อไปในทำนองที่ทำให้เชื่อได้ว่าจะเป็นอย่างที่เขาครหา ทุกอย่างมันจึงตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมปากและชวนให้หงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาถูกถาม

ยิ่งประเด็นสองมาตรฐาน ที่ก่อนการยึดอำนาจท่านผู้นำมองเห็นเด่นชัดแน่ว่าคือเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย แต่พอตัวเองเข้ามามีอำนาจแล้วก็กลับไม่ได้แก้ไขให้ดีขึ้น เห็นได้ในวันนี้จากปมของสามมิตร ปล่อยปละละเลยจนกระทั่ง แกนนำกลุ่มดังว่าได้ใจ ถึงขึ้นตีอกชกตัวอ้างเคลื่อนไหวได้เพราะไม่ได้เป็นพรรคการเมือง

ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงสิ่งที่ทำกันอยู่คือความเคลื่อนไหวทางการเมือง มันจะไม่ขัดคำสั่งของ คสช.ได้อย่างไร ไม่ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายยังไงก็ฟังไม่ขึ้น หากจะมีใครบอกว่าการตีความข้อกฎหมายของผู้มีอำนาจ “เฮงซวย” ก็อย่าไปโกรธเขา ลองไปถามคนส่วนใหญ่ดูว่ารู้สึกอย่างนั้นหรือไม่ คำตอบคงไม่แตกต่างกัน เช่นนี้แล้วท่านผู้นำยังจะอ้างเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายโดยเท่าเทียมอีกหรือ

การออกมาของ สมศักดิ์ เทพสุทิน หนล่าสุดไม่น่าจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับคณะเผด็จการ คสช.อย่างแน่นอน ถ้อยแถลงดังกล่าวนั้น ทำให้ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ถึงกับออกมาบอกว่า “นายแน่มาก” ขอชื่นชมครับ พร้อมด้วยศัพท์แสงประสาวัยรุ่นว่า อิอิ ทำให้เห็นภาพสองมาตรฐานชัดเจนสำหรับสังคมการเมืองไทยยุคปฏิรูปการเมือง

หากยึดเอาตามที่แกนนำสามมิตรว่า ชุมนุมเกินห้าคนเพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองทำกันได้ เสี่ยตือจึงอดถามต่อไม่ได้ว่า “แล้วกลุ่มคนอยากเลือกตั้งล่ะไปไล่จับเขาทำไม” เช่นเดียวกับ องอาจ คล้ามไพบูลย์ สะกิดเตือนคำพูดดังกล่าวเป็นตรรกะบิดเบี้ยว เดี๋ยวจะมีกลุ่มการเมืองอีกเยอะที่อยากจะทำกิจกรรมทางการเมือง แล้วใช้ตรรกะนี้มาทำกิจกรรมทางการเมือง

ทุกคนก็รู้ว่ากลุ่มสามมิตรเป็นกลุ่มการเมืองที่พร้อมจะแปรสภาพเป็นพรรคการเมือง และประกาศสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป แม้คนในรัฐบาลบอกว่าไม่รู้จัก ก็เป็นสิทธิที่จะตอบแบบนั้นได้ แต่ลองถามคนทั่วไปว่าจะเชื่อเช่นนั้นหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่อง ขณะเดียวกัน แม้จะไม่มีสถานะเป็นพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมือง แต่คำถามคือ อดีตนักการเมืองมาเคลื่อนไหวเพื่อเป้าประสงค์อะไร

บอกไว้ตั้งแต่กลุ่มนี้เริ่มขยับตัวกันแล้วว่า การรวมตัวกันในลักษณะนี้มองมุมไหนก็ไม่มีทางเชื่อได้เลยว่าจะไม่ขัดคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ที่ห้ามบุคคลใดก็ตามชุมนุมกันเกิน 5 คน ทำกิจกรรมที่ส่อไปในทางการเมือง ตรรกะง่าย ๆ ที่องอาจหยิบยกมาเตือนก็คือ โดยสามัญสำนึกของคนทั่วไป มีความรู้สึกว่ากลุ่มนี้ไปช็อปปิ้ง หรือไปทำกิจกรรมส่วนตัว ใครก็มองออกว่าไปทำกิจกรรมทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง คือไปเชิญชวนคนมาเข้ากลุ่มของตัวเองที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่า “ไปดูด” นั่นเอง

แต่ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจไม่ได้อินังขังขอบต่อข้อครหาใด ๆ ในเรื่องดังกล่าว คงไม่ใช่เพราะเล่นบทตีมึนเพียงอย่างเดียวแล้วคิดว่าคนจะเชื่อ แต่เชื่อว่าต่อให้มีคนไม่พอใจ ถ้าคนถือกฎหมายไม่จัดการใด ๆ เสียอย่างแล้วใครจะทำอะไรได้ ในเมื่อบรรดาคนดีเลือกที่จะเดินกันบนเส้นทางแบบนี้ คงต้องปล่อยให้บรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายได้ใช้อำนาจกันอย่างเต็มที่จะยาวซัก 20 ปีก็คงไม่เป็นไร คิดเสียว่าเขาขอเวลาอีกไม่นาน

Back to top button