สังคมข่าวหุ้น

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,749.80 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.38 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 9.2 หมื่นล้านบาท


นิวส์เวฟ

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,749.80 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.38 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 9.2 หมื่นล้านบาท

* ย้อนกลับไปเมื่อวันพุธสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายที่ 1,679 จุด ขณะที่ล่าสุดในวานนี้ปิดที่ 1,749 จุด จึงเท่ากับตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงไปแล้วถึงระดับ 70 จุด ภายในช่วงเวลา 5 วันทำการเท่านั้น เมื่อ SET เดินหน้ามาได้ถึงขนาดนี้ เท่ากับเป็นจังหวะดีของนักลงทุนจะใช้โอกาส “ขายทำกำไร” หุ้นในมือออกมาบ้าง เพราะถ้าให้พูดกันตามตรงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกยังวนอยู่แถวเรื่องเดิมไม่เปลี่ยน เหมือนอย่างที่พูดกับนักลงทุนเสมอมา เมื่อตลาดหุ้นไทยดีดเด้งขึ้นมาแรง และราคาหุ้นที่เรามีอยู่ในพอร์ตปรับเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ย้ำว่าตามเป้า) ไม่ควรรอช้าที่จะขายรับกำไร อย่าลืมเป้าหมายทุกคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นคือการหากำไรทั้งหมด

* เมื่อทุกอย่างลงล็อกตามแผนก็ต้องดำเนินการทันทีหรืออาจขายหุ้นออกไปส่วนหนึ่งก็ได้ เพื่อดึงทุนกำไรกลับคืนมาในมือบ้าง ไม่ใช่ว่าพอบอกขายทำกำไรแล้วต้องสาดออกหมดหน้าตักเสมอไป สิ่งสำคัญอย่าไปปล่อยให้คำว่า “กลัวขายหมู” หลอกหลอนจิตใจระวังสุดท้ายจะไม่ได้อะไรคืนมา ลองคิดดูกันตามความเป็นจริงหุ้นบางตัวกว่าจะขยับขึ้นบวกได้ 3-5% อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันขยับเพิ่มขึ้นมาแล้วหลายเปอร์เซ็นต์ ไม่ชิงจังหวะตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปรอช่วงไหนแล้วล่ะ

* หุ้น CPALL ราคาพุ่งพรวดภายในวันเดียวทะลุเหนือแนวระดับ 70 บาท และสุดท้ายปิดตลาดที่ 71 บาท เพิ่มขึ้นไปเกือบ 4% หลายคนเกิดความลังเลทันทีจะเอายังไงดี หรือ CPALL กำลังคืนชีพกลับมา แล้วถ้าขายตอนนี้จะไปเสียโอกาสอนาคตหรือไม่ ? หากถาม “นิวส์เวฟ” ก็คงตอบเลยว่า ขอให้ย้อนกลับขึ้นไปอ่านที่เขียนไว้ข้างต้นอีกครั้ง สำหรับจุดที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือ หุ้น CPALL ที่วิ่งขึ้นแรงเมื่อวานมาจากอะไรกันแน่ ตัวการที่จะทำให้หุ้นวิ่งร้อนแรงได้หนีไม่พ้นข้อหนึ่ง “ไปกับเซนติเมนต์ตลาด” ข้อสอง “มาจากพื้นฐานเปลี่ยนแปลง” เอาที่ข้อแรกก่อนแล้วกัน ถ้าสังเกตความเคลื่อนไหวหุ้นหลาย ๆ ตัวในช่วงนี้จะเห็นอย่างหนึ่งว่า เม็ดเงินลงทุนกำลังเริ่มกระจายไหลเข้าสู่กลุ่มหุ้นที่ราคายังไม่ขยับขึ้นหรือราคาได้ปรับลงไปเยอะพอควรแล้ว นั่นก็เข้าข่ายตรงกับหุ้น CPALL พอดี

* มาที่ข้อสองกันบ้าง “เรื่องพื้นฐาน” ล่าสุดทางนักวิเคราะห์ได้ประเมินทิศทางงบไตรมาส 3 ออกมาเบื้องต้น มีโอกาสทำกำไรแถว 4.8 พันล้านบาท ยังทรงตัวเมื่อเทียบงวดไตรมาส 2 และยังลดลงจากช่วงปีก่อน โดยมีปัจจัยกดดันจากช่วงโลว์ซีซั่นธุรกิจ รวมถึง “โปรโมชั่นแสตมป์ 7-11” ที่เคยเป็นพระเอกสร้างความโดดเด่น แต่ปีนี้กลับเงียบจนจุดกระแสไม่ติดเหมือนอดีต บวกกับต้นทุนดำเนินงานที่ยังทรงตัวระดับสูง เมื่อบวกลบปัจจัยทั้งหมดดูแล้ว ก็เลยอาจทำให้งบไตรมาส 3 ไม่ได้ฟื้นตัวเหมือนที่หลายคนหวังไว้ ส่วนเรื่องใหม่คือกรณีร่วมจับมือกับธนาคารออมสิน ประกาศเดินหน้ารับฝาก-ถอนเงินแบบชนิด 24 ชั่วโมง โดยจะเริ่มต้นขึ้นประมาณช่วงเดือน ต.ค.นี้ ปัจจัยนี้ขอยอมรับว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่น่าติดตามไม่เบาเลยล่ะ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไปว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด

* จากที่ว่ามาทั้งหมดแล้วจึงเห็นได้ว่า น้ำหนักที่มีผลต่อหุ้น CPALL เมื่อวานนี้ก็คือบรรยากาศของตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก ส่วนการจับมือกับธนาคารออมสินอันนี้เป็นเพียงจุดซัพพอร์ตเสริมเท่านั้น แน่นอนระยะสั้นทรงราคาอาจคงดูดี (ตามเซนติเมนต์ SET) แต่สุดท้ายแล้วตลาดจะกลับมาให้น้ำหนักที่พื้นฐานกำไรบริษัทมากที่สุด อย่าลืมว่านี่สิ้นสุดงบไตรมาส 3 กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะ อีกไม่นานหุ้นจะมาเคลื่อนไหวอิงกับประเด็นงบกันแล้ว และที่ผ่านมาหุ้นดิ่งลงมาได้ขนาดนี้เป็นเพราะอะไร ใช่เรื่องงบชะลอตัวและต่ำกว่าที่ตลาดคาดหรือไม่ ดังนั้น จังหวะที่หุ้นขึ้นรอบนี้จึงเป็นโอกาสขายทำกำไรที่ดีสำหรับคนมีต้นทุนต่ำกว่า 70 บาท หรือขายเพื่อหลุดพ้นดอยสำหรับคนที่มีต้นทุนแถวระดับ 70 บาท (ที่เคยติดค้างกันอยู่) ใครที่มีหุ้นจึงขอฝากให้ลองคิดทบทวนกันดู เพราะโอกาสบางทีผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไปเลยเช่นกัน *

Back to top button