เจาะกลยุทธ์ลงทุนโค้งสุดท้ายของปี ชู 8 หุ้นเด่นเน้นปลอดภัย-งบดี-ปันผลสูงน่าเก็บ!

เจาะกลยุทธ์ลงทุนโค้งสุดท้ายของปี ชู 4 หุ้นเด่นเน้นปลอดภัย-งบดี-ปันผลสูงน่าเก็บ!


เข้าสู่โค้งสุดท้ายการลงทุนปี 2561 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ โดยครั้งนี้อาศัยบทวิเคราะห์จากบล.ทิสโก้ซึ่งระบุไว้ดังนี้

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ผันผวนมากตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกแรงเทขายอย่างหนัก (Global Market Sell-off) ถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี วิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้เดิมจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ที่เปิดเผยตัวเลขส่งออกไทยในเดือน ก.ย. ที่พลิกติดลบ 5.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนครั้งแรกในรอบ 19 เดือน (ซึ่งผิดจากที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ที่บวกราว 5-6%) สร้างความกังวลมากขึ้นต่อผลกระทบของสงครามการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

ถึงแม้ปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลก (อิงจาก MSCI World Index และข้อมูล ณ 30 ต.ค.) ติดลบ 6.8% (YTD) แต่ตลาดหุ้นไทยที่ติดลบประมาณ 6% ยังดีกว่าตลาดเกิดใหม่ (EM) ทั่วโลก และในภูมิภาคนี้ที่ติดลบเฉลี่ย 19.2% และ 19.9% ตามลำดับ นอกจากนี้การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยถือว่าจัดอยู่ในกลุ่ม “Outperform ” เทียบเท่ากับตลาดพัฒนาแล้ว (DM) ที่ปรับตัวลงเฉลี่ยประมาณ 6% เช่นกัน

ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้แนะนำติดตามเหตุการณ์สำคัญที่จะชี้ชะตาหุ้นโลกฟื้นหรือฟุบ อาทิ การประชุม G20 ในวันที่ 30 พ.ย. – 1 ธ.ค. จะช่วยให้สถานการณ์สงครามการค้าผ่อนคลายลงหรือไม่ และการประชุม FED ในวันที่ 18-19 ธ.ค. แม้คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย แต่จะปรับเส้นทางการขึ้นดอกเบี้ย (Dot Plot) ในอนาคตหรือไม่

เนื่องจาก Dot Plot เดิมในการประชุมเดือน ก.ย. ยังมีแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก (Hawkish) ซึ่งยังไม่สะท้อนความเสี่ยงสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้น, ความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา และแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่วิจารณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ FED ว่าเร็วเกินไป

จากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่านักลงทุนมักซื้อ LTF & RMF ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเสมอ และปกติจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีด้วย โดยเม็ดเงิน LTF & RMF ที่ไหลเข้าในไตรมาส 4 จะเป็นการไหลเข้าในเดือน ต.ค.,พ.ย. และ ธ.ค. คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 8.2%, 17.5% และ 74.3% ตามลำดับ

สำหรับไตรมาส 4 ปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้ารวมไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นเม็ดเงิน LTF ราว 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ราว 1.5 หมื่นล้านบาท มองการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วของ SET Index ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้ระดับการประเมินมูลค่าน่าสนใจ

โดยคิดเป็น PER 13.9x ปี 19F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.2x และเข้าใกล้ -0.5SD ที่ 13.3x และการจัดงาน SET in the City ระหว่างวันที่ 15-18 พ.ย. นี้ จะกระตุ้นเม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้ามากขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ และจะไหลเข้ามากที่สุดในเดือนหน้า

สำหรับแนวโน้มการเลือกตั้งในปีหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอพ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้วันที่ 11 ธ.ค. นี้ หลังจากนั้นจะต้องเกิดการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายใน 150 วันตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 268 กำหนด เพราะฉะนั้น คาดว่าจะทยอยมีข่าวดีเข้ามาต่อเนื่องในช่วง 1-2 เดือนนี้ อาทิ การปลดล็อกพรรคการเมืองให้สามารถทำกิจกรรมได้ในช่วงปลายเดือน พ.ย. – ต้นเดือน ธ.ค. และน่าจะสามารถกำหนดการเลือกตั้งที่แน่นอนอย่างเป็นทางการได้ในช่วงปลายเดือน ธ.ค. ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า

ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง คาดจะเป็นช่วงที่รัฐบาลเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ-โครงการลงทุนต่าง ๆ, พรรคการเมืองมีการใช้จ่ายเงินเพื่อการหาเสียง และมีการนำเสนอนโยบายต่าง ๆ ในทางบวกที่สร้างความหวังให้แก่ประชาชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม ทำให้ตลาดหุ้นมักตอบรับด้วยการปรับตัวขึ้น หรือมักเรียกผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ว่า “Pre-election Rally ”

จากการศึกษาข้อมูลการเลือกตั้งของไทยในอดีต ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้น (โอกาสราว 70%) และให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนล่วงหน้า (ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 4-6%)

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกบ่อยครั้ง คือ กลุ่ม FOOD (โอกาสสูงถึง 92%), ENERG (85%) และ FIN (77%) ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (Outperform) คือ กลุ่ม FOOD, FIN และ CONMAT (โอกาส Outperform ตลาดอยู่ที่ 60% เท่ากันทั้ง 3 อุตสาหกรรม)

โดยสรุปยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าจากปัจจัยภายในเป็นสำคัญ แต่เพิ่มความระมัดระวังขึ้น (Cautiously Optimistic View) ต่อปัจจัยภายนอก ด้วยภาวะตลาดขณะนี้มีความผันผวนสูงมากมองหุ้นที่น่าจะ Outperform ควรมีคุณสมบัติเด่น 3 ประการ คือ

 (1) เป็นหุ้นที่งบไตรมาส 3 คาดว่าจะออกมาดีแบบก้าวกระโดด เนื่องจากเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นเฉพาะตัวในช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ

 (2) มีปันผลสูงช่วยรองรับความเสี่ยงราคาหุ้นขาลง

(3) ฐานราคาหุ้นค่อนข้างต่ำ ซึ่งแสดงนัยถึงราคาหุ้นจะปรับตัวลงแรงๆ มีน้อย และโอกาสในการปรับตัวขึ้นมีมากกว่าเนื่องจากความคาดหวังของนักลงทุนน้อย หุ้นที่เข้าข่ายคุณสมบัติครบทั้ง 3 ประการ คือ NYT, ROJNA, TPCH, TPIPP นอกจากนี้ชอบหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่มีสตอรี่และแนวโน้มกำไรเติบโตดีในปีหน้า แนะนำ BBL, MTC, SEAFCO, STEC เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นในเดือน พ.ย. ที่แนะนำ คือ BBL, MTC, NYT, ROJNA, SEAFCO, STEC, TPCH และ TPIPP

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button