CBG บวก 4% โบรกฯคาดผลงานปีหน้าฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

CBG บวก 4% โบรกฯคาดผลงานปีหน้าฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดย ณ เวลา 15.16 น. อยู่ที่ 46.25 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 3.93% สูงสุดที่ 46.75 บาท ต่ำสุดที่ 44.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 52.69 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ล่าสุด ณ เวลา 15.16 น. อยู่ที่ 46.25 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 3.93% สูงสุดที่ 46.75 บาท ต่ำสุดที่ 44.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 52.69 ล้านบาท

ด้าน บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ (22 พ.ย.) แนะนำ “Neutral” (เป็นกลาง) ราคาเป้าหมาย 48.50 บาท/หุ้น เริ่มเห็นสัญญาณบวกของการฟื้นตัวของผลประกอบการในปีหน้าหลังจากที่บริษัทปรับกลยุทธ์ของ ICUK ด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง ในขณะที่กลยุทธ์ที่รุกธุรกิจในประเทศหนักขึ้น บวกกับราคาวัตถุดิบหลักที่ลดลงก็น่าจะช่วยหนุนการเติบโตของธุรกิจในประเทศ และทำให้ margin ของธุรกิจในประเทศขยับสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี ได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2561 ลง 10% และคงประมาณการกำไรปีหน้าเอาไว้เท่าเดิม เนื่องจากผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมองว่าน่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น เราจึงยังคง P/E เป้าหมายเอาไว้ที่ 35x ของกำไรปี 2562 ทำให้เราได้ราคเป้าหมายปี 62F ใหม่ที่ 48.50 บาท

โดยจากข้อมูลที่ได้จาก CEO (คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์) ชี้แจงถึง CBG จะมีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ระยะยาวที่สำคัญในสองด้านด้วยกัน คือธุรกิจในอังกฤษ & ยุโรป (ซึ่งดำเนินงานอยู่ภายใต้ ICUK) และธุรกิจในประเทศไทย โดยในส่วนของ ICUK นั้น บริษัทตั้งเป้าจะลดการขาดทุนลงครึ่งหนึ่งด้วยการ ลดต้นทุนการสนับสนุนทีมเชลซีจาก 400 ล้านบาทเหลือประมาณ 250 ล้านบาท (เนื่องจากสัญญาการสนับสนุน 27 ล้านปอนด์ภายในเวลา 3 ปี ระหว่างปี 2559-2562 จะหมดอายุ)

รวมถึงลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดของ ICUK ลงจากปีนี้อยู่ที่ประมาณ 560 ล้านบาท อีกทั้งจะเน้นช่องทางการจัดจำหน่ายไปที่ห้างที่มีมาร์จิ้นสูง โดยบริษัทคาดว่าผลขาดทุนในปี 2561/2562/2563 จะลดลงเหลือ ลดลง 24.5 ล้าน/-12 ล้าน/-8 ล้านปอนด์ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงใช้สมมติฐานว่า ICUK จะขาดทุน -26 ล้าน/-17 ล้าน/-8 ล้านปอนด์ในปี 2561/2562/2563 ซึ่ง CBG จะต้องรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 84% จากผลขาดทุน

อนึ่ง CBG จะปรับกลยุทธ์ธุรกิจในประเทศในส่วนของการจำหน่ายผ่านช่องทางแบบดั้งเดิม (traditional trade distribution channel หรือ TT) ด้วยการใช้สาวบาวแดงสำหรับกลยุทธ์การขายตรง และใช้ cash van เพื่อเจาะร้านค้าแบบดั้งเดิมที่ไม่แอคทีพ บริษัทตั้งเป้าว่า กลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มรายได้จากเครื่องดื่มชูกำลัง และธุรกิจการจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ (อย่างเช่น เหล้าขาว ) ผู้บริหารคาดว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มยอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในปีหน้า ในขณะที่ในประมาณการ ใช้สมมติฐานว่ารายได้ในประเทศปี 2561/2562 จะ ลดลง 1.5%/ เพิ่มขึ้น 7%

โดยรายได้จากเครื่องดื่มชูกำลัง (43% ของรายได้รวม) จะลดลงเ 3%/เพิ่มขึ้น 5% ในขณะที่รายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายสินค้า และ OEM (13% ของรายได้รวม) จะเพิ่มขึ้น 4%/ เพิ่มขึ้น 15%

อย่างไรก็ตาม มองว่าผลประกอบการของ CBG อาจจะมี upside จาก 2 ด้านด้วยกัน ได้แก่ การขยายตลาดใหม่ไปที่ออสเตรเลีย และตลาดอื่นๆ โดยคาดว่ารายได้จากออสเตรเลียในปีหน้าอาจจะสูงถึงกว่า 100 ล้านบาท

พร้อมทั้ง GPM ที่เพิ่มขึ้นจากการลดลงของราคาเศษแก้ว ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตขวดแก้วจากระดับสูงสุดที่ 3.7 บาท/กก. ในไตรมาส 4/60 เหลือแค่ 2.6 บาท/กก. ในไตรมาส 3/61 มองว่า GPM ที่เพิ่มขึ้นจาก 33% ในไตรมาส 4/60 เป็น 37% ในไตรมาส 3/61 ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนได้ในระยะต่อไป

โดยปรับสมมติฐานอัตราการเติบโตของรายได้ปีนี้ โดยปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้จากกัมพูชาขึ้น แต่ปรับลดรายได้จากจีนและอังกฤษลง ในขณะที่ปรับเพิ่มสัดส่วน SG&A/รายได้ (จาก ICUK) ดังนั้น จึงทำให้ประมาณการกำไรปีนี้ลดลง 10% แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2562 เอาไว้เท่าเดิม เนื่องจากผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมองว่าน่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น จึงยังคง P/E เป้าหมายเอาไว้ที่ 35x ของกำไรปี 2562 ทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 62 ใหม่ที่ 48.50 บาท

Back to top button