เปิด 30 รายชื่อหุ้น SET ราคาทรุดยาว! 11 เดือนนักลงทุนเจ๊งหนักเกิน50%

เปิด 30 รายชื่อหุ้น SET ราคาทรุดยาว! 11 เดือนนักลงทุนเจ๊งหนักเกิน50%


 ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม SET ในรอบ 11 เดือนปี 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-30 พ.ย.61 โดยคัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงตามทิศทางตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลง 9.02% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1641.80 จุด ( 30 พ.ย.61) ลบไป 111.91 จุด

โดยทิศทางตลาดในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% และความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังกดดันการลงทุนมากสุดในเวลานี้

ส่วนราคาหุ้น SET ในรอบ 11 เดือนที่ปรับตัวลงแรงได้คัดเลือกมานำเสนอทั้งหมด 30 ตัว โดยครั้งนี้คัดเลือกจากราคาหุ้นปรับตัวลงเกิน 50% อย่างไรก็ตามการนำเสนอข้อมูลอาจได้ไม่ครบทั้งหมดดังนั้นจึงขอเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบการหุ้นที่ปรับตัวลงแรง 5 ตัวแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 78.69% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 38.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 8.15 บาท (30 พ.ย.61) ราคาหุ้นร่วงหนักในรอบ 11 เดือน ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 60 ที่ประกาศออกมาในช่วงดังกล่าว อีกทั้งผลงาน 9 เดือน 2561 พลิกขาดทุน129.44 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 257.464 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นร่วงหนัก

ด้านนางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทยังต้องลุ้นผลประกอบการปีนี้ออกมามีกำไร หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีผลขาดทุนราว 5 ล้านบาท โดยเป็นผลหลักมาจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย 22 ล้านบาท และยอดขายที่ปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และผลักดันให้ยอดขายมีการเติบโต

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 5,987.94 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีการเติบโต 30% หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 2,719.55 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 7% แต่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมั่นใจว่ารายได้จะมีการเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของบริษัท Long Quan Safe Food JSC (LQSF) ในประเทศเวียดนาม ที่ MALEE เข้าไปถือหุ้นราว 65%

พร้อมกันนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าใหม่ 3-4 ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของการบริโภคทั้งโลก โดยเชื่อว่าจะเข้ามากระตุ้นยอดขายของบริษัทให้มีการเติบโตขึ้น

นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวอีกว่า บริษัทเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในปี 62 เนื่องจากบริษัทได้ลงทุนในโครงการที่รองรับการเติบโตในอนาคตไปครบแล้ว ประกอบกับเชื่อว่าสินค้าในกลุ่มใหม่จะเห็นผลช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างชัดเจนขึ้น ประกอบกับการใช้ประสิทธิภาพของเครื่องจักรใหม่จะเข้าสู่จุดที่เหมาะสมมากขึ้นด้วย

 

อันดับ 2 บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 70.56% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 18.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 5.13 บาท (30พ.ย.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 11 เดือนเนื่องจากผลประกอบการในช่วง 3 ไตรมาส ที่ผ่านมาไม่สดใส ส่งผลให้งวด 9 เดือนปี 61 ขาดทุนสุทธิ 140.1 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 394.1 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 61 โดยธุรกิจการจัดจำหน่ายมือถือ ซึ่งเป็นธุรกิจของบริษัทแกน เชื่อว่าในไตรมาส 4/61 จะเข้าสู่ช่วงที่ดีที่สุดของปี โดยมีสินค้ามือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และโปรโมชั่นจำหน่ายมือถือในช่วงปลายปีจากแบรนด์ต่างๆ

นอกจากนี้ การที่บริษัทได้ทำ Exclusive Partnership กับ AIS ในการจำหน่ายซิมการ์ดและบริการอื่นๆ ของ AIS ในช่องทางการจัดจำหน่ายของเจมาร์ท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจัดจำหน่ายมือถือที่มีโปรโมชั่นส่วนลดค่าเครื่องที่แข่งขันได้ และมีรายได้เพิ่มจากส่วนแบ่งรายได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกับ AIS ในการผลักดันจำนวนลูกค้า SIM Card ให้ได้ตามเป้าหมาย

ขณะที่ในปี 62 JMART จะยิ่งได้รับผลส่งกำไรจาก บมจ. เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ซึ่งทิศทางแนวโน้มของผลประกอบการจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ของ JMART จะเร่งพลิกผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทย่อยอื่นๆ ให้เติบโตกลับมาได้ เพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้กับบริษัท JMART ได้ในปีหน้า

 

อันดับ 3 บริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ DIGI ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 69.86% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.73 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.22 บาท (30 พ.ย.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 11  เดือน เนื่องจากผิดหวังผลการดำเนินงานมีกำไรถดถอยต่อเนื่องนับตั้งปี 2557 จนถึงปัจจุบัน

ด้านนายอมฤต ศุขะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานใหม่นั้นจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป โดยจะทำให้ทิศทางการประกอบธุรกิจจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่าจะไปในทิศทางได และเชื่อว่าด้วยการปรับปรุงภายในใหม่ แผนการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ แต่ยังเน้นในกลุ่มธุรกิจ e-Business จะเห็นผลได้ในปี 62 ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลิกกลับเป็นกำไรได้ ซึ่งการเติบโตในธุรกิจ e-Business จะต้องหาพันธมิตรเข้ามาช่วยพัฒนาและร่วมลงทุน เพื่อให้มีการเติบโตได้ทันกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของผู้บริโภค

 

อันดับ 4   บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ  DDD ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 69.49% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 88.50 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 27.00 บาท (30 พ.ย.61)  เนื่องจากผิดหวังผลการดำเนินงานมีกำไรถดถอยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา

โดยงวดล่าสุดไตรมาส 3/61 พลิกขาดทุนสุทธิ 0.66 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 44.39 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไร 174.36 ล้านบาท ลดลงเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 253.45 ล้านบาท  ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/61 ผลประกอบการของบริษัทจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น เพราะว่าสถานการณ์ในประเทศจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากบริษัทเข้าไปทำตลาดเพิ่มเติม เพื่อทดแทนช่องทางการจำหน่ายเดิม รวมทั้งในช่วงไตรมาส 4/61 ยังเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มทยอยเดินทางกลับมา ส่งผลให้รายได้กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทได้มีการเปิดตัวออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “NAMU LIFE SNAILWHITE ICY MASK” มาส์กเนื้อเกล็ดหิมะ พร้อมดึงพรีเซนเตอร์ “ญาญ่า อุรัสยา” เข้ามาร่วมโปรโมทผลิตภัณฑ์ใหม่

 

อันดับ 5 บริษัท จุฑานาวี จำกัด (มหาชน) หรือ JUTHA ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 67.08% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 2.40 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.79  บาท (30พ.ย.61)ราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรงช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นผลมาผลประกอบการธุรกิจยังขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบันจนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ต้อง ขึ้นเครื่องหมาย C ตั้งแต่วันที่ขึ้น 16 พ.ย.61 เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button