ปีองค์กรอิสระเสื่อม

ปี 2561 ลงท้ายด้วยการล่า 20,000 ชื่อยื่นถอดถอน 5 ป.ป.ช. ที่ลงมติยุติการสอบสวน “นาฬิกาเพื่อน” ทั้งที่หลักฐานการครอบครองของเพื่อนยังไม่ชัดเจน ทั้งตีความโดยละเลยประเด็นว่า การยืมนาฬิกาแพง ๆ มาใส่ ถือเป็นการกู้ยืมทรัพย์สินที่ต้องแจ้งหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นในเวลาต่อไป ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คงจะยืมรถหรูเพื่อนมาขับ หรือยืมคฤหาสน์เพื่อนมาใช้อยู่อาศัยได้สบาย ตราบใดที่เรื่องแดงขึ้นแล้วบอก ป.ป.ช.ว่าไม่ใช่ของตัวเอง เป็นของเพื่อน


ทายท้าวิชามาร  : ใบตองแห้ง 

ปี 2561 ลงท้ายด้วยการล่า 20,000 ชื่อยื่นถอดถอน 5 ป.ป.ช. ที่ลงมติยุติการสอบสวน “นาฬิกาเพื่อน” ทั้งที่หลักฐานการครอบครองของเพื่อนยังไม่ชัดเจน ทั้งตีความโดยละเลยประเด็นว่า การยืมนาฬิกาแพง ๆ มาใส่ ถือเป็นการกู้ยืมทรัพย์สินที่ต้องแจ้งหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นในเวลาต่อไป ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คงจะยืมรถหรูเพื่อนมาขับ หรือยืมคฤหาสน์เพื่อนมาใช้อยู่อาศัยได้สบาย ตราบใดที่เรื่องแดงขึ้นแล้วบอก ป.ป.ช.ว่าไม่ใช่ของตัวเอง เป็นของเพื่อน

เรื่องตลกคือ ก่อนหน้านั้น ทีตอน ป.ป.ช.จะเคร่งครัด ให้กรรมการสภามหาวิทยาลัย องค์การมหาชน ยื่นบัญชีทรัพย์สิน หัวหน้า คสช.ก็ใช้ ม.44 แก้กฎหมาย ทำให้ชาวบ้านส่ายหน้าว่านี่หรือ ยุคปราบโกง เอามาตรฐานอะไรไม่ได้

พูดอย่างนี้ ไม่ใช่เชื่อว่า พล.อ.ประวิตรต้องผิดแหง ๆ หรือต้องเข้มงวดบัญชีทรัพย์สินแบบเอาเป็นเอาตาย แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา รัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ได้ปลุกความเชื่อเรื่องปราบโกงอย่างสุดโต่ง สร้างองค์กรเทวดา สเปกมหาเทพ มาเล่นงานนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ครั้นพอเรื่องย้อนเข้าหาตัวเอง หรือคนดีด้วยกัน หรือพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงาน ก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไร กลายเป็นดาบนั้นคืนสนอง

พี่ป้อมอาจไม่ผิดก็ได้ แต่พี่ใหญ่รัฐบาลทหารไม่ผิด เป็นอะไรที่ชาวบ้านเก็งไว้แล้ว คนไทยเชื่อเสมอว่าอำนาจอยู่เหนือความยุติธรรม เหนือความเป็นอิสระ ซ้ำร้าย ป.ป.ช.ชุดนี้หลายคนตั้งในยุค คสช. โดยเฉพาะประธาน เคยเป็นเลขาพี่ป้อม ต่อให้ไม่เข้าร่วมประชุม ก็หนีความทับซ้อนไม่พ้น

นาฬิกาไม่ผิด มาพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐทำอะไรไม่ผิด แจกบัตรคนจนพร้อมสมัครสมาชิกพรรค ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด ผู้สมัครไปแจกบัตรกับนายอำเภอ ถ่ายภาพยิ้มแฉ่งทั้งคู่ ก็เป็นแค่บังเอิญไปเจอกัน สี่รัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ ทั้งของตัวเองและผู้หนุนหลัง ไปบีบข้าราชการนักธุรกิจซื้อบัตรโต๊ะจีน วิถีไทยเราเรียกว่าความเกรงใจ ถือเป็นความสมัครใจอย่างหนึ่ง

กกต.ก็กำลังจะไม่ต่างอะไรกับ ป.ป.ช.ถูกวิจารณ์อื้ออึงตั้งแต่มี ม.44 ขยายเวลาแบ่งเขตจนอัปลักษณ์ ใครยังเชื่อความเป็นอิสระ เป็นกลาง ในเมื่อพวกท่านได้ตำแหน่งจากการลงมติของ สนช.ที่ คสช.ตั้ง

ครั้นถามว่าจะเลื่อนเลือกตั้งจริงไหม ท่านก็บอกว่า กกต.ยังไม่ได้กำหนดวันเลือกตั้งเลย จะเรียกว่าเลื่อนได้อย่างไร ตอบเก่งใกล้วิษณุ เครืองาม เข้าไปทุกที

ช่วงปีที่ผ่านมา และน่าจะต่อเนื่องปีนี้ คือปีแห่งความตกต่ำขององค์กรอิสระ ที่คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า จะมีมหาเทพผุดจากดอกบัวมาใช้อำนาจลงโทษคนชั่ว อย่างเที่ยงธรรมเป็นกลาง ไม่เห็นแก่หน้าใคร ซึ่งเป็นความเชื่องมงาย ในเมื่อคนเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์ขี้เหม็น มีคอนเนคชั่น มีโลภโกรธหลงเหมือนคนทั่วไปนั่นเอง บางคนก็มาเพราะอยากมีอำนาจที่ทุกคนเกรงกลัว มีเงินเดือนเงินประจำตำแหน่งค่ารับรองแพงลิบ แถมลูกน้องบริวาร ไม่ใช่ต้องการเสียสละอะไรเลย แต่รัฐธรรมนูญกลับให้อำนาจเพียง “เชื่อได้ว่า” ทุจริต กกต.ก็สามารถตัดสิทธิ ระงับสิทธิ ผู้ชนะการเลือกตั้ง หรือ ป.ป.ช.สั่งฟ้องโดยศาลต้องยึดสำนวน ป.ป.ช.เป็นหลัก สันนิษฐานว่าผิดไว้ก่อน

การพังทลาย หมดเครดิต สิ้นความศักดิ์สิทธิน่าเชื่อถือ ขององค์กรตรวจสอบที่สถาปนาตนเป็นอำนาจที่สี่ อยู่เหนือความยุติธรรม นี่แหละคือชัยชนะของประชาธิปไตย ที่เห็นคนเท่ากัน ไม่ไว้วางใจทุกอำนาจ ไม่ว่าจะอ้างตนเป็นคนดีมีศีลธรรมอย่างไรก็ตาม

 

Back to top button