เจาะกลยุทธ์ลงทุนช่วงตรุษจีน! ชู 9 หุ้นเด่นโกยรายได้ทะลักรับเม็ดเงินสะพัด 1.35 หมื่นลบ.

เจาะกลยุทธ์ลงทุนช่วงตรุษจีน! ชู 9 หุ้นเด่นโกยรายได้ทะลัก รับเม็ดเงินสะพัด 1.35 หมื่นลบ. นำโดย AOT,MINT,CENTEL,ERW,CPF,CPALL,BJC,ROBINS,HMPRO


ใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีนคาดว่าในช่วง 7 วันตั้งแต่วันที่ 4-10 ก.พ. 62 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากกว่า 3.3 แสนคน ขณะเดียวกันคาดว่ามาตรช็อปตรุษจีนคืน VAT 5% ในช่วง 1-15 ก.พ.62 จะทำให้มีเม็ดเงินค่าใช้จ่ายคนกรุงเทพฯสะพัดราว 13,560 ล้านบาท

แน่นอนเพื่อให้เข้ากับเทศกาลดังกล่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีนมานำเสนอ เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าลงทุน โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดีอาทิ AOT,MINT,CENTEL,ERW,CPF,CPALL,BJC,ROBINS,HMPRO โดยส่วนใหญ่จะอยู่ใน กลุ่มส่งออกอาหาร,กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม,กลุ่มสายการบิน และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น

โดยครั้งนี้ได้อาศัยข้อมูลประกอบจากบทวิเคราะห์โบรกเกอร์ชั้นนำของไทยอาทิ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,บล.ทิสโก้,บล.กรุงศรี,บล.เอเซีย พลัส และบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ซึ่งระบุไว้ดังนี้

 

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เทศกาลตรุษจีนปี 2562 ภาคประชาชนมีมุมมองต่อภาวะกำลังซื้อค่อนข้างระมัดระวัง ทำให้มีการหันมาเน้นประหยัดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากมุมมองเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ อาทิ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% สำหรับการใช้จ่ายในช่วงดังกล่าว ทำให้คาดว่า เม็ดเงินค่าใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณ 13,560 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.9 โดยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการทำบุญ/ท่องเที่ยวเป็นหลัก

สำหรับเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ที่ตรงกับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นปีที่ภาพรวมตลาดอาจถูกกดดันจากความกังวลของประชาชต่อกำลังซื้อ ทำให้กิจกรรมที่ทำในช่วงตรุษจีนจะเน้นที่ความประหยัด และปัจจัยสำคัญคือ มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% สำหรับการใช้จ่ายในช่วงระหว่างวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2562 ถือเป็นมาตรการที่น่าจะช่วยจูงใจให้เกิดเม็ดเงินการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ได้พอสมควร

 

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองประเด็นหุ้นน่าสนใจในระยะสั้น คือ (1) หุ้นได้ประโยชน์การกระตุ้นบริโภค (สวัสดิการแห่งรัฐ, ช็อปช่วยชาติในช่วง 15 ธ.ค. – 15 ม.ค. ต่อเนื่องถึงช็อปตรุษจีนคืน VAT 5% ในช่วง 1-15 ก.พ.) – CPALL, BJC, ROBINS (2) นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัว, ขยายเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า (VoA) จนถึงสิ้นเดือน เม.ย. และการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นฤดูกาลท่องเที่ยวไทย – AOT, MINT, CENTEL, ERW

 

บล.กรุงศรี จำกัด ระบุกลยุทธ์การลงทุน :  Selective Buy  กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO) ได้ประโยชน์เม็ดเงินที่จะสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (AOT, MINT, CENTEL, ERW) ครม.ขยายเวลามาตรการฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า (VOA) ถึงวันที่ 30 เม.ย.19 และคาดจำนวน นทท.จีนขยายตัวขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน

 

บล.เอเซีย พลัส  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มค้าปลีก (COMMERCE) (เท่าตลาด)  นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่ากระทรวงการคลังได้ขยายเวลาในการลงทะเบียนเข้าร่วม มาตรการช็อปตรุษจีนช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 62 โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 15 ก.พ. 62 (เดิม 7-31 ม.ค. 62) และสามารถเพิ่มเลขบัญชีธนาคารที่จะนำไปชำระเงินเพิ่มเติมได้สูงสุด 10 เลขบัญชี

การขยายระยะเวลาลงทะเบียน มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม คาดเป็นผลจากกระแสตอบรับผู้มาลงทะเบียนใช้สิทธิ์เข้าร่วมในโครงการที่น้อยกว่าที่รัฐฯคาด  คือ มีผู้ร่วมโครงการ ณ วันที่ 30 ม.ค. 62 อยู่ที่ราว 2 หมื่นคน จากเป้าหมาย 1.0 แสนคน

ทั้งนี้ แต่ด้วยผลประโยชน์ทางภาษีที่ไม่สูง (คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5%) จึงอาจจะเป็น Sentiment บวกเล็กน้อยต่อกลุ่มค้าปลีกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) กลุ่มค้าปลีก ปี 2562 คาดเติบโตได้ 2.2% ดีขึ้นจากที่คาดว่าจะอยู่ราว 1.3% ในปี 2561 โดยมีน้ำหนักหลักจากอานิสงส์ความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งจะหนุนเม็ดเงินสะพัดช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งมากกว่า

ภาพรวมยังคงน้ำหนักลงทุนกลุ่มค้าปลีก “เท่าตลาด” แนะนำลงทุนหุ้นที่ยังมี Upside และยัง Laggard ได้แก่ BJC(FV@B61) และ HMPRO ([email protected]) ด้าน CPALL (FV@B80) แม้พื้นฐานบริษัทยังแข็งแกร่ง แต่จากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ Upside จำกัด แนะนำซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว

 

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า Tourism: นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเติบโตได้ดีในช่วงตรุษจีน ททท.ร่วมมือกับ รมต.กระทรวงท่องเที่ยวของจีน ในการจัดงานช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ กทม. โดย ททท. คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามามากกว่า 3.3 แสนคน ในช่วง 7 วัน (4-10 ก.พ. 2019) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่ 1.03 ล้านคน 

KTBST: มีมุมมองเป็นบวกต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่ ททท. คาดไว้ในช่วงตรุษจีนปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นได้ดี โดยที่ระดับ 3.3 แสนคน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นที่ 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (15-21 ก.พ. 2018) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 3.13 แสนคน ซึ่งมองว่า สถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาดีขึ้นเร็วที่คาดไว้ ถึงแม้ว่า จะยังไม่ดีเท่าปีก่อน แต่เชื่อว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน ต.ค. 2018 โดยกลุ่มท่องเที่ยว ชอบ ERW และ MINT ราคาเป้าหมายที่ 7.30 บาท และ 44.50 บาท ตามลำดับ

ด้าน CPF (ซื้อ/ 29.00 บาท) ธุรกิจสุกรเป็นวงจรขาขึ้น กลับมาโตเด่นในปีนี้” ราคาสุกรเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงตรุษจีน ขณะที่สุกรในประเทศจีนยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพและโรคระบาด ส่งผลให้อุปทานลดลง ทำให้จีนต้องนำเข้าสุกรจากประเทศใกล้เคียง เช่น เวียดนาม จึงคาดว่าราคาสุกรในเวียดนามจะยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ CPF ได้ประโยชน์จากธุรกิจสุกรทั้งในไทยและเวียดนาม

ยังคงประมาณการปี 2018 และปี 2019  คาดกำไรปกติปี 2019 จะอยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท เติบโตสูงขึ้น+29.7% ประเมินมูลค่า CPF โดยอิงวิธี sum of the part (SOTP) ได้มูลค่าที่ 29 บาท ปัจจุบันซื้อขายที่ 24 เท่า (ใกล้เคียง +1SD) ยังต่ำกว่าเป้าหมายตอนช่วงธุรกิจปศุสัตว์ที่ดีที่ +1.5-1.7 SD หนุนโดยธุรกิจสุกรที่ดีในปี 2019  ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ส่วน AOT ประเมินช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 11 ก.พ.นี้ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่ม 4% และจำนวนเที่ยวบินเพิ่ม 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีประเด็นข่าวการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สุวรรณภูมิ ทาง AOT ยันเดินหน้าต่อ เพราะมีความจำเป็นรองรับผู้โดยสารปัจจุบันล้นเกินรองรับ พร้อมชงบอร์ดพิจารณาอีกรอบ 20 ก.พ.นี้ แต่ยอมรับตอนนี้มีอยู่ 3 แนวทาง คือ 1. ไม่ต้องทำ, 2. ทำแต่ปรับแบบ กับ 3. ทำแบบเดิม

KTBST: มองเป็นบวกเล็กน้อยต่อจำนวนผู้โดยสารที่มีทิศทางเติบโตได้ดีขึ้น โดยในงวดไตรมาส1/62 (ต.ค.-ธ.ค.2018) เติบโต 2.7% และเดือน ม.ค. ถึงช่วงตรุษจีน จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 4% ขณะที่สมมติฐานทั้งปี (ต.ค.2018-ก.ย.2019) จะเติบโต 6% ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ส่วนกรณีการก่อสร้างเทอร์มินอล 2 ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งมองว่าการก่อสร้างมีความจำเป็นแต่อาจต้องมีการปรับแบบ ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนในการก่อสร้างจะทำให้แผนการขยายจำนวนผู้โดยสารล่าช้ากว่าเดิมได้

สำหรับ AOT ยังคงราคาเป้าหมาย 67 บาท โดยมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้จากข่าวบวกจากตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่ยังมีปัจจัย overhang จากความไม่ชัดเจนทั้งการก่อสร้างเทอร์มินอล 2 และการเปิดประมูลดิวตี้ฟรีสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนหลังประชุมบอร์ดวันที่ 20 ก.พ.นี้

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button