จัด 3 หุ้นกลุ่มสื่อตัวท็อป โบรกฯแนะ “เพิ่มน้ำหนักลงทุน” รับปัจจัยบวก 2 เด้ง

จัด 3 หุ้นกลุ่มสื่อตัวท็อป โบรกฯแนะ "เพิ่มน้ำหนักลงทุน" รับปัจจัยบวก 2 เด้ง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ ที่ให้คำแนะนำในการเข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มสื่อ และสิ่งพิมพ์ เนื่องจากจะเป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคาที่ใกล้เข้ามาถึง ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้บริการสื่อในรูปแบบต่างๆส่งผลให้รายได้ของบริษัทในกลุ่มดังกล่าวดีขึ้น

โดย บริษัทหลักทรัพย์เคที ซีมิโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ โดยปรับคำแนะนำหุ้นในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์เป็น Overweight หรือ มากกว่าตลาด โดยมองว่าเรตติ้งช่องข่าวขยายตัวขึ้น ขณะที่คาดจะมีการประมูลคลื่น 700MHz ได้ประมาณสิ้นปีเป็นอย่างเร็ว

ทั้งนี้ ในรายงานประจำปีได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (กลุ่มทีวี) จาก “เท่ากับตลาด” เป็น “มากกว่าตลาด” บนความคาดหวังว่าแผนเยียวยาของ กสทช. จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มในปี 2563 ได้  ขณะที่ช่วงไตรมาส 4/2561 อาจไม่ได้เป็นปีที่ดีนัก เนื่องจากผู้ประกอบการยังคงต้องฟันฝ่ากับภาวะที่เม็ดเงินโฆษณายังชะลอตัว

โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ WORK, RS และ JKN เนื่องจากราคาหุ้นยังมีส่วนต่างจากราคาตลาดสูง และคงแนะนำ “Outperform” สำหรับ BEC จากความคาดหวังต่อแผนการเยียวยาของกสทช. และแนะนำ “Underperform” สำหรับ MONO เพราะราคาหุ้นไม่มี upside เหลือ

 

ทั้งนี้ บล.เคทีซีมิโก้ แนะนำ “ซื้อ” WORK หลังจากมีแนวโน้มเชิงบวก จากธุรกิจทีวีช้อปปิ้งและมาตรการเยียวยาจาก กสทช. อย่างไรก็ตาม ปรับประมาณการกำไรลง จากแนวทางผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2561ที่ดูไม่สดใสและแนวโน้มธุรกิจที่อ่อนแอ ขณะที่คาดกำไรปี 2563 เติบโต จากการประหยัดต้นทุนยังไม่รวมธุรกิจทีวีช้อปปิ้งเข้ามาในประมาณการผลกระทบปานกลาง จากมาตรการเยียวยา

โดยปรับลดกำไรปี 2561 ลง 28% และกำไรปี 2562-2563 ลง 12%-13% จากแนวโน้มธุรกิจที่ซบเซา รวมถึงปรับราคาเป้าหมายลง จาก 50.25 บาท เป็น 33.75 บาท แต่ยังมีแนวโน้มเชิงบวก จากธุรกิจทีวีช้อปปิ้ง และการประกาศมาตรการเยียวยาของ กสทช. จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยแนะนำซื้อ RS โดยคาดไตรมาส 4/2561 กำไรเพิ่มขึ้น 29.1% จากปีก่อนที่ 142 ล้านบาท โดยคาดยอดขายรวมที่ 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหนุนจากการโตของรายได้ MPC ที่มีการจัดงาน Grand Sales ในช่วง 21 – 31 ธ.ค. 61 ทำให้มีรายได้สูงสุดของปีและเพิ่มขึ้น 27.1% จากปีก่อนที่ 593 ล้านบาท แต่ธุรกิจสื่อรวมคาดรายได้ 326 ล้านบาท ยังอ่อนลงจากปีก่อนจากการแข่งขัน, เม็ดเงินโฆษณาที่โตต่ำ และเรตติ้งช่อง 8 ก็ลดลง แต่ไตรมาสก่อนฟื้นตัวดีขึ้นจากการใช้จ่ายงบปลายปี ส่วนเพลงคาดทรงและโชว์บิธโตขึ้น ต้นทุนและ SG&A เพิ่มขึ้นตามยอดขายของ MPC เป็นหลัก โดยทั้งปีคาดกำไรที่ 523 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดเดิมที่ 508 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปี 62 MPC ยังเป็นตัวสร้างการเติบโต: หลัง Grand Sales ยอดขายไม่ได้ลดลง อีกทั้ง 1Q62 จะมีรายได้จาก Grand Sales ขยับมาบ้างส่วน โดย MPC จะเป็นตัวสร้างการเติบโตในปี 62 ทั้งจาก SKU ที่เพิ่มขึ้น, เน้น outbound กระตุ้นการซื้อซ้ำ และเพิ่มช่องทางขายผ่านตัวแทน Lifestar Biz ส่วนช่อง 8 เน้นเพิ่มนาทีขายให้สูงขึ้นและคุมต้นทุนไว้ โดย RS จะย้ายไปกลุ่มพาณิชย์ช่วงปลายไตรมาส 1/2562-ต้นไตรมาส 2/2562

โดยยังคงราคาพื้นฐาน 20 บาท และคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับกำไรปี 2562 ขึ้นเล็กน้อยที่ 670 ล้านบาท คงราคาพื้นฐานที่ 20 บาท upside ยังสูง

ขณะเดียวกัน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.60 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิไตรมาส 4/2561 เท่ากับ 50 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 350% จากปีก่อน, เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน) แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นจากค่าตัดจำหน่ายสูงขึ้น แต่รายได้ก็เติบโต 29% จากปีก่อน พราะความสำเร็จในการส่งออกหนังอินเดียไปยังตลาด CLMV และตลาดในประเทศเติบโตดี ซึ่ง JKN เริ่มส่งหนังให้กับช่อง 5 ตั้งแต่ไตรมาส 3/2561

ด้านค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายคาดว่าจะลดลงจาก 21.6% ในไตรมาส 4/2560 เป็น 13.4% ในไตรมาส 4/2561 แต่ในไตรมาสนี้จะมีค่าใช้จ่ายการขายเพิ่มจากการนำหนังออกขายในต่างประเทศและงาน Mega Showcase

สำหรับแนวโน้มปี 62 แข็งแกร่ง คาดว่ารายได้จะเติบโตต่อ จากการที่หนังและซีรีย์อินเดียได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มีช่องทีวีซื้อหนังอินเดียเพิ่ม เช่น ช่อง 5, ช่อง 25 และช่อง One ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้จากช่อง 5 ตั้งแต่ไตรมาส 3/2561 รวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศ และการจับมือกับ BEC ขยายตลาดละครไทยในต่างประเทศให้มากขึ้น นอกจากนั้นค่าตัดจำหน่ายต่อหน่วยจะลดลงจากการมี Economy of scale มากขึ้น

โดยการเปิดช่องคืนใบอนุญาตทีวีดิจิตอลไม่กระทบ เพราะลูกค้าที่ซื้อหนังและซีรีย์จาก JKN เป็นกลุ่มที่มีฐานะการเงินดี และมีแผนขยายธุรกิจในระยะยาว

ทั้งนี้ คงคำแนะนำซื้อ เราปรับลดประมาณการกำไรปี 62-63 ลง 3-6% สะท้อนการปรับเพิ่มสมมติฐานค่าตัดจำหน่าย และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 48.6% และ 52.6% ในปี 62-63 (เดิม 51.3% และ 54.5%) ราคาพื้นฐานจึงลดลงเป็น 13.60 บาท (เดิม 14.50 บาท) อิงกับ P/E ปี 62 ที่ 22 เท่า

Back to top button