พาราสาวะถี

ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายกรณีกกต.มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ด้วยเหตุผลจากกรณีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 (2) กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่


อรชุน

ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายกรณีกกต.มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ด้วยเหตุผลจากกรณีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 (2) กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

ไม่มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนตามข่าวที่ปรากฏมาก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุที่กกต.เห็นหลักฐานที่ปรากฏต่อกกต.ในขณะนี้ถือว่าเพียงพอวินิจฉัย ประกอบกับเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญที่ควรจะมีความชัดเจนโดยเร็ว จึงได้มีมติและรีบส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยภายในวันเดียวกันทันที ซึ่งฝ่ายรับวินิจฉันก็ดีใจหาย ขยายเวลาปิดทำการไปอีก 1 ชั่วโมงเพื่อรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ

เห็นขบวนการอันขะมักเขม้นเช่นนี้ คงไม่ต้องคาดเดาปลายทางว่าทษช.จะมีชะตากรรมอย่างไร ไม่ต้องไปมองถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้งทั้งกรรมการบริหารพรรคและผู้สมัครส.ส.ในนามของพรรคการเมืองนี้ตายหมู่กันทั่วหน้า แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ถูกยุบตามไปด้วย ก็น่าคิดอยู่เหมือนกันว่าการไปใช้สิทธิของประชาชนและผลที่จะออกมาหน้าตาจะเป็นอย่างไร

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนของทษช.ที่ยืนยันไม่หวั่นไหวคือ จาตุรนต์ ฉายแสง ผู้ที่เคยทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จะอยู่กับพรรคเป็นคนสุดท้ายในวันที่พรรคถูกยุบ หนนี้ก็เช่นกันเดอะอ๋อยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก รู้สึกวาทกรรม เห็บกระโดดตอนหมาจะตายทำท่าจะฮิต อยากจะบอกแบบสบาย ๆ ว่า ตนไม่คิดว่าทษช.จะถูกยุบง่าย ๆ แต่ถ้าถูกยุบจริง ๆ ตนจะอยู่จนถึงวันยุบเป็นคนสุดท้าย เหมือนที่เคยทำมาแล้วที่ไทยรักไทย

คงไม่ใช่การท้าทาย แต่เป็นความหาญกล้าทางการเมืองของผู้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย คนที่กล้าประกาศว่าไม่ยอมรับนายกฯ คนนอก แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับพรรคซึ่งตนเองสังกัดคงเป็นสิ่งบ่งชี้และบทเรียนที่สำคัญสำหรับกรรมการบริหารพรรคและคนที่ร่วมกันกระทำในสิ่งที่เกิดขึ้น หากยึดตามความเห็นของฝ่ายยืนหยัดในหลักการคงไม่มีจุดจบอย่างที่เห็น

กระนั้นก็ตาม ในยามที่สังคมมีทั้งสมน้ำหน้า สะใจและเห็นใจต่อกรณีของทษช. มีอยู่คนหนึ่งที่ตั้งคำถามต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกกต. นั่นก็คือ ทิชา ณ นคร คนที่ปฏิเสธจะร่วมเป็นหนึ่งในองคาพยพของเผด็จการ โดยที่เจ้าตัวโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ท่าทีกกต. ครั้งแรกที่เกิดปรากฏการณ์กับครั้งนี้ต่างกันสิ้นเชิงสะท้อนอะไร ?

ไม่รู้งาน ไม่รู้บทบาท ไม่มีความรู้ตามภารกิจที่ลึก ชัดเจนและแม่นยำ พลิกลิ้น เปลี่ยนลีลา ตามกระแส ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม ฯลฯ ใครเสียหายและ ? กกต.จะรับผิดความเสียหายจากการรู้หรือไม่รู้จริงของตัวเองที่เกิดขึ้นกับคนอื่นอย่างไร กกต.สมควรจะทำหน้าที่ที่สะท้อนความรับผิดชอบที่กะพร่องกะแพร่งต่อไปหรือไม่ เพราะกกต.คือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่เงินเดือนและสวัสดิการสูงมาก แต่คุณภาพ ผลลัพธ์ต่ำตมมาก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทิชาเสนอความเห็นเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านั้น 3 วันก็มีการแสดงความเห็นว่า เมื่อบุคลากรในองค์กรอิสระ เช่น กกต.  ป.ป.ช. ขาดความเป็นมืออาชีพ ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม ติดอยู่ในระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ระบบอุปถัมภ์ องค์กรอิสระเหล่านี้จึงนำชาติบ้านเมืองสู่วิกฤติ สู่ทางตัน ซ้ำซาก

ข้อพึงพิจารณาคือ ประเทศเราต้องมีองค์กรอิสระที่ลงทุนด้วยงบประมาณที่สูงมากแต่ทำงานด้วยคุณภาพต่ำมากเพื่ออะไร คงไม่ใช่แค่ทิชาคนเดียวเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นนี้ หลายกรณีเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดว่า องค์กรอิสระที่ชอบสร้างวาทกรรมสารพัดเพื่อยกหางตัวเอง แต่ผลลัพธ์จากการทำงานค้านความรู้สึกของผู้คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก

คงไม่ต้องบอกกรณีนาฬิกายืมเพื่อนเป็นเหมือนหลักฐานการันตีการทำงานขององค์กรอิสระได้เป็นอย่างดีว่า มีจุดยืนในเชิงหลักการ ความถูกต้องอย่างไร แถไถใช้ทุกกระบวนท่าจนสังคมเองก็หมดปัญญาต่ออาการหน้าทนที่ไม่รู้ว่าติดมาจากพวกเผด็จการหรือไม่ มิหนำซ้ำ ยังมีหน้าจะมาเรียกร้องให้สังคมเชื่อมั่นต่อการทำงานขององค์กรตัวเองอีกต่างหาก

อย่างที่บอกมาโดยตลอด องคาพยพของเผด็จการรอบนี้แท็กทีมทำงานกันเป็นระบบ เห็นได้ชัดเจน หลังกกต.มีมติดังว่า อดีตกรธ.ก็ออกมาสำทับทันควันทษช.หมดสิทธิ์อุทธรณ์และหากถูกตัดสิทธิ์ก็จะเป็นการตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต ชี้ทิศทางกันรวดเร็วเช่นนี้ หากสังคมจะมีข้อคำถามอย่างหนึ่งประการใด คงหนีไม่พ้นถูกครหารับเงินใครมาเคลื่อนไหวหรือเปล่า

สรุปนี่คือการเมืองยุคปฏิรูป แต่หลายสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งกว่าการเมืองน้ำเน่าในอดีตเสียอีก เห็นการดีเบตของแกนนำพรรคหรือจะเรียกได้ว่าแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคการเมืองผ่านเวทีของสื่อยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่ง ยิ่งเห็นอาการสีข้างเข้าถูของพวกสืบทอดอำนาจอย่างเด่นชัด ทุกการกระทำบ่งบอกได้แจ่มแจ้งว่าเพื่อการกลับมาของผู้นำเผด็จการทั้งสิ้น

ส่วนความเห็นของเนติบริกรซีกเผด็จการนั้น คงเลิกถามกันได้แล้ว อย่างที่ทิชาได้ให้ความเห็น เป็นแค่พวกที่เอาตัวรอดไปวัน ๆ พึ่งหลักคิดไม่ได้เลย ทุกเรื่องที่ออกจากปากเลือกที่จะปกป้อง เอาใจ เกาะเกี่ยวรับใช้อำนาจเป็นหลัก ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่น่าเคารพ ไม่น่านับถือ เป็นอีกหนึ่งคนที่เสียดายเงินภาษีเป็นที่สุด ถูกต้องตรงเผงเป็นที่สุดเช่นกัน

ขณะที่ผู้นำเผด็จการก็ท่องคาถาเดิม โจมตีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเก่งแต่พูดแต่ทำไม่ได้ โดยที่คงจะลืมไปว่า ถ้าไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าจะจัดการแต่ละเรื่องได้อย่างไร คงต้องไปพิสูจน์กันหากประชาชนเชื่อมั่นไว้ใจให้กลับมาบริหารประเทศอีกกระทอก ขณะเดียวกันก็ภาวนากันว่าอย่าให้มีเหตุอะไรที่จะไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ก็แล้วกัน

Back to top button