DDD บวก 3 วันติด! พุ่งต่อ 9% ลุ้นรายได้ปีนี้โต 15% แตะ 1.45 พันลบ.

DDD บวก 3 วันติด! พุ่งต่อ 9% ลุ้นรายได้ปีนี้โต 15% แตะ 1.45 พันลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ล่าสุด ณ เวลา 11.00 น. อยู่ที่ระดับ 33.75 บาท ปรับตัวขึ้น 2.75 บาท หรือ 8.87% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 108.88 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ นายสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DDD เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสเนลไวท์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 2562 รายได้ฟื้นตัว เติบโต15% คาดรายได้แตะ 1,450 ล้านบาท เผยมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์เดิม พร้อมเปิดตัวแบรนด์สินค้าใหม่ ได้แก่ แบรนด์ SoS (เอะสึ โอ เอะสึ) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โดยมาพร้อมกับ เซรั่มไฮยาลูรอน ที่มีความเข้มข้น 3 โมเลกุล เพื่อสร้างความชุ่มชื้นล้ำลึกถึงชั้นในสุด

ขณะเดียวกันบริษัทยังวางแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางการขายแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น หลังจากปรับกลยุทธ์ และการสื่อสารให้เข้าถึงร้านค้าและผู้บริโภค โดยเน้นการกระจายสินค้าเข้าไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ซึ่งบริษัทได้เริ่มเข้าไปทำการตลาดตั้งแต่ไตรมาส 3/61 รวมทั้งยังเพิ่มการสื่อสารกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อจูงใจในการซื้อสินค้า เพราะว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวถือเป็นลูกค้าสำคัญของบริษัท

ถึงแม้ว่าปีนี้กลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นรุกตลาดในประเทศเป็นสำคัญ แต่ยังให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศ โดยจะมุ่งเน้นรองลงมา สำหรับตลาดในต่างประเทศ โดยบริษัทจะเน้นการขยายตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากมองว่าจะเป็นมีปัจจัยบวกค่อนข้าง ซึ่งบริษัทได้เริ่มเข้าไปทำการตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงปลายเดือนก.ย. 2561 โดยผลิตภัณฑ์สเนลไวท์ได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้คาดว่าในปี 2562 บริษัทจะมีรายได้จากประเทศฟิลิปปินส์จะกว่า 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนปี 2562 ประมาณ 30-40 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ สำหรับรองรับการเพิ่มไลน์การผลิตให้เพิ่มมากขึ้น และสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ ที่นิคมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบริษัทยังได้อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งปัจจุบันได้ศึกษาความเป็นไปได้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 รายในปีนี้

“ปีนี้แผนธุรกิจของเรายังคงที่จะเน้นประเทศไทยเป็นหลัก โดยได้เดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปที่ช่องทางการขายแบบดั้งเดิม เพื่อเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าให้มากขึ้น และออกแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้สามารถรอบรับความต้องการของผู้บริโภค ขณะที่ต่างประเทศเราก็ยังคงจะเน้นประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากในช่วงไตรมาส4/61รายได้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมที่ประเทศฟิลิปปินส์ และมีการเติบโตอย่างมีสาระสำคัญ” นายสราวุฒิ กล่าว

Back to top button