‘หุ้นหลบภัย’ ยามสงครามการค้าปะทุ!

ความกังวลผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน กลับมากดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรอบใหม่อีกครั้ง หลังโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเป็น 25%


เส้นทางนักลงทุน

ความกังวลผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน กลับมากดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรอบใหม่อีกครั้ง ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ปรับขึ้นมาจากเดิม 10% เป็น 25% ในวันที่ 10 พ.ค.62 นี้

แม้ว่าทางกระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า นาย Liu He ผู้นำเจรจาการค้าของจีน ยังคงกำหนดการเยือนสหรัฐฯ ในวันที่ 9-10 พ.ค.62 เพื่อเจรจาประเด็นทางการค้า ท่ามกลางเส้นตายของทรัมป์ที่ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

ขณะที่ทางสำนักข่าวหลายแห่งรายงานตรงกันว่า ทางการจีนพร้อมจะตอบโต้ทางการค้าต่อสหรัฐฯ ในทันที หากประกาศของทรัมป์ดังกล่าวมีผลปังคับใช้….

ดังนั้นเชื่อว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่อแววว่าจะไม่จบดีล !!!

ประเด็นดังกล่าวยังส่งผลลบต่อเนื่องไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งตลาดภูมิภาค-ตลาดยุโรป-ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สต่างร่วงกันทั่วหน้า รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยที่ร่วงลงต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พ.ค.62 ปิดที่ระดับ 1,646.80 จุด ลดลง 7.21 จุด มูลค่าการซื้อขาย 45,095.01 ล้านบาท แต่หากรวม 3 วันที่ดัชนีร่วงลงติดต่อกันราว -32.25 จุด

เมื่อประเด็นภายนอกรุมเร้าตลาดหุ้นทั่วโลก และยังส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน และอิงไปในทิศทางลบ ทาง บล.เอเซีย พลัส จึงแนะกลยุทธ์การลงทุนด้วยการหันมาหาหุ้นหลบภัยจากสงครามการค้า นั่นก็คือ หุ้นที่อิงในประเทศ นั่นเอง

โดยใช้กลยุทธ์ “DE ดี” (Defensive, Earning Outlook ดี) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ 1. หุ้นในประเทศ ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 2. หุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการโดดเด่นในไตรมาส 1/2562 คือเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับหุ้นได้ประโยชน์จากในประเทศที่ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ คือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  ERW  และบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL

ส่วนหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการในงวดไตรมาส 1 ปี 2562 โดดเด่น (เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน) ทางฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” และมี Upside สูง ได้แก่ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT, บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO, บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH, บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON

บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH, บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC, บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP, บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M และบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT

ทั้งนี้ด้วยข้อมูลจากบทวิเคราะห์คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2562 ของบริษัทข้างต้นจะออกมาเติบโตแข็งแกร่ง  พบว่า บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON มีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีรายได้จากการให้บริการรวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 413.64 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 394.15 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการรับจ้างงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น และรายได้จากการให้เช่าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 80.48 ล้านบาท หรือ 0.11 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 71.33 ล้านบาท หรือ 0.10 บาทต่อหุ้น

อีกทั้งมี บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 ออกมาแล้วเช่นกัน โดยรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,513.79 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,547.09 ล้านบาท เป็นผลจากมีปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 984.76 ล้านบาท หรือ 0.117 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 753.85 ล้านบาท หรือ 0.090 บาทต่อหุ้น

จากการทยอยประการผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2562 ที่ออกมาก็พบว่าเติบโตตามที่นักวิเคราะห์คาดการไว้ ดังนั้นเชื่อว่าบริษัทที่เหลือก็จะออกมาโดดเด่นเช่นกัน

แต่ถึงอย่างไรทาง บล.เอเซีย พลัส เลือกหุ้น Top pick  เป็น บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ให้ราคาเป้าหมาย 11.30 บาท ราคาเริ่มฟื้นตัว และมี Momentum ดีจากกำไรสุทธิไตรมาส 1/2562 ที่คาดโดดเด่นทำ New High ต่อเนื่องที่ 121.8 ล้านบาท โตถึง 157% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 4% จากไตรมาสก่อน รวมทั้ง SEAFCO มัก Outperform ตลาดได้ดีในเดือน พ.ค.ตลอด 5 ปี ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกปีเฉลี่ยสูงถึง 5.21% ขณะที่หุ้นไทยเดือน พ.ค. มักจะเป็นเดือนที่ติดลบมากสุดของปี

รวมถึง บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท เป็นหุ้นค้าปลีกที่คาด PER ปี 2562 ต่ำสุดในกลุ่มเพียง 20.5 เท่า และลักษณะธุรกิจหลัก ๆ เป็นการบริโภคภายในประเทศ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้า

หุ้นทั้งหมดที่ยกตัวอย่างถือเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุน เพาะเชื่อว่าจะเป็นหุ้นหลบภัยที่อาจไม่ได้รับผลกระทบในยามที่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน กำลังจะปะทุ !!!

Back to top button