Top 15 หุ้นราคาพุ่งแรงเดือนเมษาฯ!

ราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นแรงในเดือนเม.ย. เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในช่วงก่อนหน้า จนกระทั่งมีการทำบิ๊กล็อตเข้ามาผลักดันให้ราคาปรับตัวขึ้น


เส้นทางนักลงทุน

“ข่าวหุ้นธุรกิจ” ทำการรวบรวมหุ้นที่ราคาหุ้นปรับตัวพุ่งแรงในช่วงเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา โดยการสำรวจพบว่า มี 15 ตัว ราคาปรับตัวขึ้นกว่า 15% อาทิ B, NOBLE, BEC, CRANE, POST, ROCK, CKP, GGC, MTC, SPALI, GJS, EA, JMART, ORI และ TQM เป็นต้น (ส่วนรายละเอียดราคาหุ้นดูจากตารางประกอบ)

ผลการสำรวจจะเห็นว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงส่วนใหญ่เป็นหุ้นตัวที่ราคาไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในช่วงก่อนหน้า จนกระทั่งมีการทำบิ๊กล็อตเข้ามาผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ประกอบกับบางตัวมีข่าวดีเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หลายตัวมีอาจจะปรับตัวขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้น… ขณะที่หุ้นบางตัวก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อได้จากปัจจัยบวกสนับสนุน !

ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 15 ตัว พบว่าน่าสนใจต่อเนื่อง… ลุ้นราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ อย่าง บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP เนื่องจากมีการประเมินกำไรสุทธิปี 2562-2563 ที่ 0.9 พันล้านบาท และ 2.1 พันล้านบาท เติบโตโดดเด่น 85% โดยได้รับแรงหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก 1) โครงการหลัก NN2 ซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว ขนาด 258 เมกะวัตต์ ผลประกอบการคาดอยู่ในภาวะขาขึ้นในปี 2562 ผลักดันโดยระดับน้ำและ Water inflow ที่มากขึ้นจากปีก่อน ส่งผลให้จ่ายไฟฟ้าได้มากขึ้น

ล่าสุดไตรมาส 1/2562 แจ้งจ่ายไฟฟ้ากับทาง EGAT เพิ่มขึ้นถึง 47% จากงวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับการปรับค่า FiT ขึ้นอีกราว 8% ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไปตามสัญญาฯ ส่งผลให้ไตรมาส 1/2562 คาดกำไรปกติอยู่ที่ 128 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน, และเพิ่มขึ้น 120% จากงวดเดียวกันของปีก่อน), 2) โครงการไซยะบุรี (XPCL) ขนาด 488 เมกะวัตต์ (ตามสัดส่วนหุ้นที่ถือ) ปัจจุบันก่อสร้างไปแล้วกว่า 98% คาด SCOD ได้ตามกำหนดในไตรมาส 4/2562 เป็นปัจจัยหลักหนุนผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องอีก 4 ไตรมาส (ไตรมาส 4/2562-ไตรมาส 4/2563)

นอกจากนี้ CKP ตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมในปี 2568 แตะระดับ 5,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่ 2,167 เมกะวัตต์ โดยเน้นไปที่โครงการ Hydroelectricity ในประเทศเมียนมาและลาวซึ่งมีศักยภาพอยู่มาก โดยเฉพาะในลาวซึ่งมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้า Hydro เพื่อขายกลับมาให้ไทยได้อีกราว 3,100 เมกะวัตต์

โดยปัจจุบัน CKP อยู่ระหว่างเจรจากับรัฐบาลลาวเพิ่มสร้างโรงไฟฟ้า Hydro ขนาด 1,000-1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดได้ข้อสรุปภายในปี 2562 ซึ่งหากสำเร็จจะเป็น Upside ให้กับประมาณการของเรา ในขณะที่พม่ายังมีความต้องการสร้างโรงไฟฟ้าอีกมากโดยเฉพาะ Hydroelectricity ที่มีค่าไฟฟ้าต่ำกว่าเชื้อเพลิงอื่น  CKP มีโอกาสได้งาน Hydroelectricity เนื่องจากเป็นผู้ผลิตที่มีประสบการณ์และความชำนาญมากสุด

เช่นเดียวกับ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC  เนื่องจากมีการประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องคิดเป็น 22% ตามช่องทางการเข้าถึงลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.9 พันสาขาในปี 2562 และความจำเป็นในการตั้งสำรองส่วนเกินเพิ่มขึ้นน้อยลง โดยเชื่อว่าระดับสำรอง ณ ปัจจุบันเพียงพอต่อ TFRS 9 ส่งผลให้บริษัทตั้งสำรองที่ลดลงคิดเป็น Credit Cost 135 bps จากปี 2561 ที่ 140 bps ทั้งนี้มองว่าธุรกิจใหม่ของบริษัทอย่างสินเชื่อเช่าซื้อที่จะเริ่มดำเนินงานในไตรมาส 3/2562 นั้นจะยังเป็นแรงกดดันต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น และต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินงานเพื่อเพิ่ม Loan Yield จากปัจจุบันที่ปรับตัวลดลงหลังไม่คิดค่า Prepayment Fee

เหมือนกับ บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM  เนื่องจากมีการประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 506 ล้านบาท ขยายตัว 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 1) รายได้ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) หนุนโดยธุรกิจประกันวินาศภัยรถปีที่ 2 เพิ่มขึ้นสูงตามยอดขายรถยนต์ปี 2561 ที่เพิ่มขึ้น 20%, ความร่วมมือกับบริษัทประกันต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และรายได้ธุรกิจประกันชีวิตที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาแพลตฟอร์มประกันชีวิต, 2) Gross Profit Margin เพิ่มขึ้นที่ 49.5% จากปีก่อนที่ 48.5% ตามสัดส่วนรายได้จากธุรกิจประกันชีวิตที่มี GPM ที่สูงกว่า และ 3) SG&A/Sale ลดลงที่ 28.6% (ปี 2561 ที่ 29.4%) จากการประหยัดต่อขนาด และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินงาน

จากข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง แต่ถึงอย่างไรหุ้นทั้ง 15 ตัวยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อจากช่วงเดือนเมษายนหากมีข่าวดีเข้ามาสนับสนุน !!!

Back to top button