KTIS ผุดโปรเจคยักษ์ 1.3 พันลบ. ผลิตภาชนะชานอ้อยส่งขายในปท.-ตปท. มั่นใจหนุนผลงานโต

KTIS จับมือพันธมิตรจีน ผุดโปรเจคยักษ์ 1.3 พันลบ. ผลิตภาชนะชานอ้อย ส่งขายทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ ตั้งเป้ากำกลังผลิต 50 ตัน/วัน มั่นใจหนุนรายได้-กำไรโต


นายณัฎฐปัญญ์  ศิริวิริยะกุล  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการร่วมลงทุนในโครงการโรงงานผลิตภาชนะจากเยื่อชานอ้อย กับ บริษัท ยูเรเซีย ไลท์ อินดัสตรี อีควิปเม้นท์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตภาชนะจากเยื่อชานอ้อย อีกทั้งยังเป็นผู้จัดจำหน่ายภาชนะจากเยื่อชานอ้อยในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อว่า บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ที่ถือหุ้น 85% โดยบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (บริษัทย่อยที่ถือหุ้นโดย KTIS 100%) และบริษัทยูเรเซียฯ จากจีนถือหุ้น 15%

ทั้งนี้ มูลค่าโครงการที่ตั้งไว้ 1,300 ล้านบาท จะเป็นเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่าย รวม 650 ล้านบาท และจากเงินกู้ยืมอีก 650 ล้านบาท เพื่อนำมาจัดตั้งโรงงานและซื้อเครื่องจักร ซึ่งมีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน โดยภาชนะจากเยื่อชานอ้อยที่สามารถผลิตได้นั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ถ้วย ชามหลุม กล่อง เป็นต้น

โครงการนี้เรามั่นใจว่าจะเป็นอีกสายธุรกิจหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำรายได้และกำไรที่ดี เนื่องจากในปัจจุบันกระแสรักสิ่งแวดล้อมหรือรักษ์โลกแผ่กว้างออกไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากการรณรงค์ลดใช้พลาสติกในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น ภาชนะที่จะเข้ามาแทนพลาสติกและโฟมจึงต้องผลิตจากวัสดุธรรมชาติ อย่างชานอ้อยที่ปัจจุบันกลุ่ม KTIS ก็ได้ผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อยคุณภาพสูงจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว  นอกจากนั้น ผู้ร่วมทุนในโครงการนี้ยังจะเป็นผู้ทำตลาดในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่มากอีกด้วย” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 (มกราคม – มีนาคม 2562) กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 4,003.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 322.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 271.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 86.8 ล้านบาท

ทั้งนี้ สายธุรกิจที่มีการเติบโตสูงได้แก่ สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 55% และสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล มีรายได้เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อยมีรายได้ลดลง 19.3% และสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย มีรายได้ลดลง 16.8% เนื่องจากทั้งปริมาณและราคาขายน้ำตาลทรายลดลง

ถึงแม้ว่าราคาขายน้ำตาลที่ลดลงอันเนื่องมาจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกลดลงอย่างมาก แต่สายธุรกิจชีวภาพของบริษัทฯ ทั้งในเรื่องการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากชีวมวล ธุรกิจเอทานอล ตลอดจนธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อย มีผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก จึงทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่สองของกลุ่ม KTIS ดีขึ้น” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 (ตุลาคม 2561-มีนาคม 2562) กลุ่ม KTIS มีรายได้รวม 6,802.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 3.85% และมีกำไรสุทธิ 126.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 130.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งขาดทุนสุทธิ 421.1 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจน้ำตาลอยู่ที่ 60.8% และสายธุรกิจชีวภาพอยู่ที่ 39.2%

Back to top button