S บวก 3.55% นิวไฮรอบ 8 เดือน โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้า4.20บ. ชี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว

S บวก 3.55% นิวไฮรอบ 8 เดือน โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" เคาะเป้า4.20บ. ชี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว โดย ณ เวลา 15.07 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 3.50 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.55% สูงสุดที่ระดับ 3.62 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.46 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 361.04 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ณ เวลา 15.07 น. อยู่ที่ระดับ 3.50 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.55% สูงสุดที่ระดับ 3.62 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.46 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 361.04 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 8 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.54 บาท เมื่อวันที่ 17 ต.ค.61

ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ (12 มิ.ย.62) โดยเริ่มต้นคำแนะนำหุ้น S ที่ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายของ 12 เดือนที่ 4.20 บาท/หุ้น ด้วยวิธี SOTP ซึ่งมองว่าปีนี้เป็นปีแห่งการเริ่มต้น “การเก็บเกี่ยว” ทั้งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรม โดย Backlog คอนโดมิเนียม 2 โครงการใหญ่ที่เริ่มบันทึกรายได้จะหนุนให้ผลประกอบการกลับมาโดดเด่นโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ขณะที่ธุรกิจโรงแรม S เตรียมจดทะเบียน SHR ในครึ่งปีหลัง 2562 เช่นกัน ซึ่งมองว่าจะเป็นปัจจัยที่หนุนฐานะการเงินและ Unlock Asset Value ได้ดี

ขณะที่คาดว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลจากการลงทุนของ S ในช่วง 3 ปีที่มา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้แรงหนุนจากการส่งมอบของคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหญ่ที S ถือสัดส่วน 100% ซึ่งแรงหนุนของกลุ่มคอนโดมิเนียมจะต่อไปถึงครึ่งปีหลัง 2563 ที่เริ่มเห็นการต่อยอดด้วยส่วนแบ่งจาก 2 โครงการใหญ่ของ JV ขณะที่ธุรกิจโรงแรมการเปิด 2 โรงแรมใหญ่ในมัลดีฟส์คาดหนุนให้ธุรกิจเติบโตเด่นและส่งผลบวกต่อการ Spin-Off ของบริษัทลูกในกลุ่มโรงแรมในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้

ทั้งนี้ S เตรียมนำบริษัทลูกคือ SHR (S Hotel and Resort) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมในเครือของ S เช่น สันติบุรี และ Outrigger ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีโรงแรมในมือ 39 แห่งรวม 4,647 ห้องใน 5 ประเทศ โดยจะเป็นการขาย IPO ไม่เกิน 1,437 ล้านหุ้น โดยคาดว่า S จะได้เงินทุนหมุนเวียนเข้ามาประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาท ซึ่ง S จะนำไปลดหนี้และเงินทุนสำหรับโครงการในอนาคต โดยคาด S จะคงสัดส่วนการถือใน SHR หลัง IPO ที่ไม่เกิน 60%

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Business Model ของ S มีความหลายหลายในธุรกิจและ S ตั้งเป้าการเป็น Global Holding Company โดยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์มีทั้งส่วนที่พัฒนาเพื่อขายที่เป็นเจ้าของและ JV มีทั้งส่วนที่พัฒนาเพื่อให้เช่าและมีการจัดตั้งกอง REIT ขณะที่ธุรกิจโรงแรมมีการกระจายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศทั้งในส่วนที่เป็นเจ้าของทั้งหมดและบางส่วน ทำให้เราเลือกวิธีประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วย Sum of the part (SOTP) โดยได้มูลค่าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 2.60 บาท/หุ้น และมูลค่าธุรกิจโรงแรมที่ 1.60 บาท/หุ้น

Back to top button