SET ดิ่งหนักหลุด 1,600 จุด หลังหุ้นทั่วโลกร่วงแรง โบรกฯแนะพักเงินหุ้นปันผล-Defensive

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(15ส.ค.62) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเ …


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(15ส.ค.62) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดภาคเช้ารูด 20 จุด หลุดแนวรับ 1600 จุด  โดย ณ เวลา 10.07 น. อยู่ที่ 159.58 จุด ลบ 21.87 จุด หรือ 1.35% มูลค่าการซื้อขาย 24,193.79 ล้านบาท

โดยดัชนีปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวในแดนลบหลังจากดัชนีดาวโจนส์ร่วงหนักกว่า 800 จุดเมื่อคืน สาเหตุหลักจากภาวะ inverted yield curve อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย กดดันให้มีแรงขายนำออกมาในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มหลักทั้งพลังงาน แบงก์ และสื่อสาร ถ่วงบรรยากาศการลงทุน

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(15ส.ค.62):คาดว่า SET Index จะปรับตัวลงทดสอบระดับ 1,590-1,600 จุดตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ร่วงแรงหลังเริ่มเกิด Inverted Yield Curve ของพันธบัตร 2 ปีและ 10 ปีของสหรัฐฯซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเกิด Recession ในอนาคต ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 2Q19 โดยรวมออกมาต่ำกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามเราประเมินว่าหาก SET เปิดกระโดดลงแรงเรามองเป็นจังหวะซื้อเก็งกำไรลุ้น Technical Rebound ระยะสั้นและทยอยลดพอร์ต และสำหรับการซื้อลงทุนยังเน้นพักเงินใน Defensive และ Dividend Play เป็นหลัก

 

บล.กสิกรไทย มุมองตลาดวันนี้(15ส.ค.62):คาด SET Index ปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ 1,600 จุด ซึ่งดูแย่กว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้าบนความกังวลว่าจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรามองว่าภาครัฐ และธนาคารกลางทั่วโลกคงไม่นิ่งนอนใจกับสัญญาณเตือนดังกล่าว และคาดว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ตามมา เรามองว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส จาก ณ ระดับ SET Index ที่ 1,600-1,620 จุด คิดเป็น Earnings Yield Gap เกิน 5% (จาก EPS 12 เดือนข้างหน้าที่ 109 และ Bond Yield 10 ปีของไทยที่ 1.52%) ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน

รัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้น ได้แก่ การประกันรายได้เกษตร (5.3 หมื่นลบ.) ชดเชยต้นทุนการผลิต (1.1 แสนลบ.) การแจกเงินผ่านบัตรสวัสดิการ (2 หมื่นลบ.), และแจกเงินเที่ยวคนละ 1,500 บาท (3 หมื่นลบ.)

ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว 25bps. มองผลกระทบต่อกำไรสุทธิปี 2019 ประมาณ 0.2%-3% และกำไรปี 2020 ประมาณ 1-8% โดย TMB และ KTB จะได้รับผลกระทบมากสุด ขณะที่ TISCO ได้รับผลกระทบน้อยสุด

กลยุทธ์การลงทุน ถือครองเงินสด 15-20% ของพอร์ท สะสมหุ้นกลุ่มที่แข็งกว่าตลาด ดังนี้

กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ CPALL AMATA BTS ORI TFFIF

กลุ่มปันผลสูง JASIF LH TISCO TCAP

กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จากการแข่งขันลดลง (รายได้เพิ่ม ต้นทุนลด) TRUE DTAC ADVANC INTUCH

กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก IMO 2020 TOP PRM BGC

ปัจจัยบวกเฉพาะตัว CPF GUNKUL TPCH MINT PTT JWD JAS AOT COM7

 

บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(15ส.ค.62):ประเมิน SET Index วันพฤหัสฯ ปรับลง… ทดสอบระดับสำคัญทางจิตวิทยา 1,600 จุด หลังนักลงทุนยกระดับความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกถดถอย (global recession) เพราะ i) จีนรายงานตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรม ก.ค. ต่ำสุดรอบ 17 ปี และต่ำกว่า consensus คาด ii) เยอรมันรายงาน GDP ไตรมาส 2/2562 ติดลบจากไตรมาสก่อน และ iii) ในฝั่งสหรัฐฯ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลงต่ำกว่าผลตอบแทนตัว 2 ปี (หรือที่เรียกกันว่า inverted yield curve) ซึ่งในอดีตมักเป็นสัญญาณชี้นำเศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ข่าวลบจากสามประเทศหลักของโลก กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดน้ำมันดิบให้ลงแรงเมื่อคืน และน่าจะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ยังไหลออกจากหุ้นเอเชียและหุ้นไทยต่อไป

อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัย KGI มองว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกถดถอยมีค่อนข้างต่ำ เนื่องจาก i) สหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณถอย เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับจีนออกไปอีก 3 เดือน และ ii) ธ.กลางหลักๆ โดยเฉพาะ ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด) และ ธ.กลางยุโรป ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเตรียมผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทั้งการลดดอกเบี้ยและออกมาตรการพิเศษเช่น QE ในระยะถัดไป น่าจะช่วยรองรับเศรษฐกิจโลกในระดับหนึ่ง จากการศึกษาเราพบว่ากรณีไม่เกิดภาวะ recession ตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันมีความน่าสนใจในเชิง valuations แล้ว

และหากวันนี้ SET Index ลดลงไปต่ำกว่า 1,600 จุดจะคิดเป็น earnings yield gap ใกล้ 5.0%… จึงคงแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมโดยเฉพาะหากดัชนีฯ ปรับลงแรงในวันนี้ สำหรับปัจจัยภายในประเทศ วานนี้ รมว. คลังแถลงว่าจะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เร็วกว่าเดิม โดยจะเข้า ครม. เศรษฐกิจในวันพรุ่งนี้ (16 ส.ค.) จากเดิมจะเข้าพิจารณาในวันที่ 19 ส.ค.

Back to top button