ส่องกลุ่มหลักได้-เสียประโยชน์ราคาน้ำมันดิบพุ่ง! พร้อมเคาะ 2 หุ้น Top picks กลุ่มพลังงาน

ส่องกลุ่มหลักได้-เสียประโยชน์ราคาน้ำมันดิบพุ่ง! พร้อมเคาะ 2 หุ้น Top picks กลุ่มพลังงาน


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลจากบทวิเคราะห์ ที่รวบรวมหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นแรง โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงนี้ ขณะที่คาดว่าหุ้นในกลุ่มยางพาราจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันปรับขึ้นได้แก่ กลุ่มสายการบิน กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มขนส่ง Logistic

โดย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่า น้ำมันหายไปราว 50% ผลักดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเช้านี้ปรับตัวสูงขึ้น 11 – 13% และมีแนวโน้มว่าจะยืนอยู่ที่ระดับสูงต่อเนื่องจนกว่า Supply จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สถานการณ์ดังกล่าวมองว่าเป็นผลดีต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน แต่สำหรับ Sentiment โดยภาพรวมในส่วนของความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์มองเป็นภาพเชิงลบ

สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะเห็นแรงขับเคลื่อนที่มาจากกลุ่มน้ำมัน เฉพาะอย่างยิ่ง PTTEP และ PTT ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรง และอาจมีขยายออกไปในหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น ยางพารา เป็นต้น ส่วนผลเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกลับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนหลัก อย่างเช่น กลุ่มขนส่ง และ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น จากผลของเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฝ่ายวิจัยพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุน โดย เพิ่ม PTTEP เข้าไปในพอร์ตด้วยน้ำหนักการลงทุน 10% ทำให้หลังการปรับปรุงรอบนี้พอร์ตจำลองของฝ่ายวิจัยมีหุ้นในกลุ่มน้ำมันรวม 20% ของพอร์ตการลงทุนรวม ประกอบด้วย PTT ซึ่งมีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และ PTTEP ส่วนหุ้นที่ให้ขายทำกำไรออกไปเป็นการชั่วคราวได้แก่ JWD ซึ่งอาจได้รับผลกระทบในเชิง Sentiment จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น  สำหรับประเด็นอื่นที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้นอกจากเรื่องน้ำมัน ได้แก่การประชุม Fed ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ส่วนทิศทางของ SET Index เช้านี้ คาดว่าน่าจะเห็นการปรับตัวสูงขึ้นด้วยแรงขับของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีน้ำหนักของ Market Cap. สูงที่สุดในตลาดหุ้นไทย

ราคาน้ำมันดิบพุ่ง 13% หลังจากโรงน้ำมันใหญ่สุดในซาอุดิอาระเบีย หยุดผลิต

ราคาน้ำมันดิบโลกเช้าวันนี้ พุ่งขึ้นแรง คือ WTI เพิ่มขึ้น 11.6%, Brent เพิ่มขึ้น 13.5% โดยมีปัจจัยหนุนจากในตะวันออกกลาง คือ ช่วงวันหยุดที่ผ่านมากลุ่มก่อการร้ายฮูติ(Houthi militias) กองกำลังในเยเมน (สนับสนุนโดยอิหร่าน)   ได้ใช้โดรน 10 เครื่อง โจมตีใส่โรงน้ำมัน(Oil Facility) ที่เตรียมรับน้ำมันที่ขุดออกมาแล้วและเตรียมส่งออกน้ำมันของ ซาอุดิอาระเบีย 2 แห่งจนเกิดไฟไหม้ คือ

โรงน้ำมัน  Abqaiq เป็นโรงที่ใหญ่ที่สุดของซาอุฯและใหญ่สุดในโลก คือ สามารถรับน้ำมันเข้ามาเตรียมราว 7 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว  2 ใน 3 ของการผลิตทั้งหมดของซาอุฯ

โรงน้ำมัน  Hijra Khurais ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของซาอุฯ รับน้ำมันได้ 1.45 ล้านบาร์เรล/วัน

โดยจากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้การผลิตน้ำมันของซาอุฯหยุดไป 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของซาอุดิอาระเบีย และจะกระทบต่อการส่งออก (ปัจจุบันกำลังการผลิตของซาอุฯมากที่สุดของกลุ่ม OPEC ราว 9.8 ล้านบารเรลหรือ 33% ของกลุ่มOPEC) และซาอุดิอาระเบียส่งออกน้ำมันมากที่สุดในโลกราว  6.8 ล้านบารเรล/วัน  อย่างไรก็ตามสหรัฐได้ออกมากล่าวหาว่าอิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้  (ขณะที่อิหร่านออกมาปฎิเสธ)

โดยรวม ASPS เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบดูไบให้ยืนบริเวณ  60 เหรียญฯได้  ล่าสุดราคาปิดวันศุกร์ อยู่ที่ 56.48  (เฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 62.7 เหรียญฯ สมมติฐานที่  ASPS คาด 60 เหรียญฯ ในปี 2562 และนับจากปี 2563 เป็นต้นไปคาดที่ 65 เหรียญฯ) แต่จะยืนได้นานหรือไม่ ขึ้นกับซาอุฯจะกลับมาผลิตน้ำมันได้เร็วหรือไม่ และเชื่อว่าจะมีปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ -อิหร่านและอิหร่านกัลบมาอีกครั้ง (จากเดิมสหรัฐมีท่าทีผ่อนคลายขึ้น) โดยรวมน่าจะเป็นผลบวกต่อหุ้นพลังงาน  และผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่ม สายการบิน วัสดุก่อสร้าง ดังนี้

(-) Sector ที่เสียประโยชน์ จากราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น

ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรงดังกล่าว และน้ำมันดูไบน่าจะยืนบริเวณ 60 เหรียญอีกสักระยะหนึ่ง  เชื่อว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมซึ่งใช้น้ำมันเป็นต้นทุนหลัก ๆ

กลุ่มสายการบิน คือ หากราคาน้ำมันดิบดูไบขยับขึ้นมา 60-65 เหรียญฯ ซึ่งจะกระทบต่อสายการบิน เนื่องจากหากราคาน้ำมันดิบอยู่ในช่วงต่ำกว่า 60 เหรียญฯ ดังเช่น 1-2 เดือนที่ผ่านมา จะเป็นระดับที่ลดลงถึง 18% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน แต่ที่ราคาปัจจุบันจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในอัตราที่ต่ำลงเหลือ 10%-15% ประโยชน์ที่ AAV,BA และ THAI ควรได้รับจากน้ำมันส่วนที่ยังไม่ทำสัญญาล่วงหน้า ราว 22.5%, 27.5% และ 42% ของปริมาณใช้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 จึงจะลดลงมีนัยฯ  ขณะเดียวกัน หากพิจารณาภาพทั้งปี ก็มีโอกาสสูงขึ้นที่ต้นทุนน้ำมันทั้งปีจะสูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่ 60 เหรียญฯ ซึ่งเป็น Downside ต่อคาดการณ์ผลประกอบการทุกสายการบิน จึงยังคงคำแนะนำทุกสายการบินตามเดิม คือ  Switch  AAV และ BA รวมถึง ขาย THAI

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้เสียประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนพลังงานอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน, ค่าไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยธุรกิจที่น่าจะได้เสียประโยชน์คือ TASCO (ราคาเป้าหมาย 22.5 บาท)  ซึ่งใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบโดยตรงในการผลิตยางมะตอย สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์มีองค์ประกอบของต้นทุนพลังงานประมาณ 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด โดยแบ่งเป็น ถ่านหิน ประมาณ 30% และ ค่าไฟฟ้าประมาณ 30% ค่าไฟฟ้า ก็จะขึ้นกับค่า Ft ซึ่งมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต,  ขณะที่ธุรกิจกระเบื้อง DCC(ราคาเป้าหมาย 2.31 บาท) แม้จะมีโครงสร้างต้นทุนที่มาจากก๊าซธรรมชาติสูงถึง 30% ของต้นทุนการผลิต แต่ราคาก๊าซจะมี Lag time จากราคาน้ำมันเตาประมาณ 4-6 เดือน จึงยังไม่ส่งผลกระทบในทันที อย่างไรก็ตาม DCC อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากค่าขนส่ง (อิงราคาน้ำมันดีเซล) สัดส่วนประมาณ 7% ของยอดขาย

กลุ่มขนส่ง Logistic  ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น  มีผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ปรับเพิ่มขึ้น  เนื่องจากมีการใช้รถขนส่งจำนวนมากในการกระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ (แต่การปรับเพิ่มต้นทุนค่าขนส่งดังกล่าวอาจมี Lag time เนื่องจากการขนส่งส่วนใหญ่เป็น Outsource) และค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามค่า Ft    จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า สัดส่วนของต้นทุนโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าของกลุ่มฯ จะอยู่ที่ราว 2-4% ของยอดขาย  โดยรวมเชื่อว่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อ  WICE(ราคาเป้าหมาย 3.6 บาท)  และJWD(ราคาเป้าหมาย 12.3 บาท)

หุ้นน้ำมัน แรงหนุนตลาดที่สำคัญในช่วงนี้ ชอบ PTTEP และ PTT

ผ่านมาครึ่งเดือน ก.ย. 2562 ประเด็นสงครามการค้าผ่อนคลาย บวกความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางทั่วโลก หนุนตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวแรง สะท้อนได้จากดัชนี MSCI World ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.96%(mtd) ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยัง Laggard อยู่มาก ซึ่งปรับตัวขึ้นมาเพียง 0.43% อย่างไรก็ตามประเด็นโรงน้ำมันขนาดใหญ่ในประเทศซาอุดิอาระเบียถูกโจมตี กดดันให้ Supply น้ำมันหายไปราว 5 ล้านบาเรล/วัน น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เนื่องจาก SET Index มีสัดส่วน Market Cap ในหุ้นพลังงานและปิโตรเคมี รวมกันสูงถึง 25% ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสัดส่วนกำไรสุทธิสูงถึง 36% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวแรง จะมีส่วนช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยสามารถกลับมา Outperform ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆได้ ในช่วงที่เหลือของเดือน ก.ย. 62

กลยุทธ์ช่วงนี้แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนหลักในธุรกิจ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, สายการบิน และโลจิสติกส์ (ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น) พร้อมกับลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันฟื้นตัว คือ หุ้นกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ มีรายละเอียดรายหุ้นดังนี้

กลุ่มน้ำมัน:  PTT (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 53 บาท) มีโอกาสบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน หากราคาน้ำมันดิบสามารถกลับไปยืนเหนือ 62-65 $/bbl และอาจได้ประโยชน์จากกำไรของบริษัทลูก ทั้งในกลุ่มโรงกลั่น และสำรวจและผลิตปิโตรเลียม PTTEP (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 166 บาท) อีกทั้ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ PTTEP ได้ประโยชน์ คือทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายทางภาษี 100 ล้านเหรียญ

กลุ่มโรงกลั่น: หากพิจารณาจากค่าการกลั่น (ค่าการกลั่น = ราคาน้ำมันสำเร็จรูป – ราคาน้ำมันดิบ) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจากประเด็นดังกล่าวข้างต้น คาดจะส่งผลกดดันค่าการกลั่นลดลงช่วงสั้น แต่หลังจากนั้นถ้าราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวขึ้นตาม ก็จะส่งผลบวกต่อค่าการกลั่นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หากราคาน้ำมันดิบสามารถกลับไปยืนเหนือ 62-65 $/bbl (ราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยสิ้นไตรมาส 2/62) ได้ต่อเนื่องไปถึงสิ้นเดือนก.ย. ก็มีโอกาสบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน โดยรวมถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ TOP(แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 71 บาท), BCP (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 33 บาท), PTTGC(แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 67 บาท) และ IRPC(Switch ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท)

กลุ่มยางพารา: คาดจะได้ประโยชน์ทางอ้อม เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ราคายังสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนยางธรรมชาติปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ผู้ประกอบการผลิตยางรถยนต์ปรับสูตรมาใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นบ้าง และเป็นบวกต่อราคายางพารา ดังนั้น ราคายางพาราที่ปรับเพิ่มขึ้น ถือเป็น Sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อ STA (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13 บาท) เนื่องจากผู้ประกอบการยางพารารายใหญ่สุดของโลกมีความน่าเชื่อถือและส่งมอบสินค้าได้ตามเวลา โดยคาด STA จะได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าบางส่วนเพิ่มขึ้น บวกกับธุรกิจถุงมือยางที่มีประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น ช่วยหนุนทิศทางผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 62 ฟื้นตัวจากงวดครึ่งปีแรกของปี 62

Top picks เลือก PTTEP คาดว่าฟื้นตัวได้ดีตามราคาน้ำมัน และอาจมีการ Cove short เข้ามาช่วยหนุนให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกแรง นอกจากนี้ยังชื่นชอบหุ้น CK ราคาเริ่มขยับขึ้น แต่ยัง Laggard ตลาดอยู่มาก ตั้งแต่ต้นปี 2562 ให้ผลตอบแทนเพียง -3.6% นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน แต่ SET Index ขึ้นมาแล้ว 6.3% นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน

 

Back to top button