SUSCO วางเป้า 5 ปี กำไรโตทุกปี เล็งลงทุน 2 พันลบ. ขยายปั้ม-แตกไลน์ธุรกิจใหม่

SUSCO วางเป้า 5 ปี (ปี 62-66) กำไรโตทุกปี ตามปริมาณขายน้ำมันนระดับ 8-10% ต่อปี เล็งลงทุน 2 พันลบ. ขยายปั้ม-แตกไลน์ธุรกิจใหม่


นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายการดำเนินงานช่วง 5 ปี (ปี 62-66) จะผลักดันกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ตามการเติบโตของปริมาณขายน้ำมันในระดับ 8-10% ต่อปี จากการขยายสถานีบริการน้ำมันให้ได้อย่างน้อย 300 แห่ง จาก 238 แห่งในขณะนี้ รวมถึงการปรับโฉมสถานีฯ ให้มีความทันสมัยมากขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันขายปลีกเพิ่มเป็น 4% จากกว่า 3% ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ บริษัทยังจะรุกธุรกิจ non-oil ที่มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูงกว่าธุรกิจน้ำมัน ด้วยการหาพันธมิตรใหม่เข้ามาเปิดให้บริการให้สถานีฯ มากขึ้น และความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นลักษณะแบ่งส่วนกำไร (profit sharing) ระหว่างกัน โดยวางเป้าหมายจะมีสัดส่วนกำไรธุรกิจ non-oil เพิ่มเป็น 20-30% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนราว 10%

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีราว 1.5-2 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายงาน รวมถึงยังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนผลประกอบการ โดยเบื้องต้นเตรียมติดตั้งป้ายโฆษณาดิจิทัล ขนาด 40 ตารางเมตร ในบริเวณสถานีฯ เพื่อเปิดให้เช่าป้าย โดยจะเริ่มแห่งแรกที่สถานีฯ ริมถนนวิภาวดี-รังสิตในเดือน ต.ค.นี้และจะขยายเป็น 10 แห่ง รวมถึงจัดพอร์ตที่ดินที่มีอยู่ทั่วประเทศราว 1 พันไร่ให้มีความเหมาะสมแก่การลงทุนต่าง ๆ ในอนาคตอีกด้วย

“5 ปีข้างหน้าเราจะเป็นผู้ค้าขนาดกลาง มีสถานีบริการ 300 แห่งซึ่งเราว่าเหมาะสมและทำกำไรได้ หาธุรกิจที่เหมาะสมให้เราอยู่ได้ เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราเป็น landlord เราจะพยายาม utilize ที่ดินเราด้วย เรามีเป็นพันไร่ทั่วประเทศ เป็นปั๊มอย่างนี้แต่ละที่ 4 ไร่ รวม ๆ เป็นพันไร่เป็นพื้นที่ติดถนนทั้งหมด เป็นของเดิมตั้งแต่ 20 กว่าปีที่แล้ว เราซื้อที่พร้อมปั๊มบางแห่งเราก็ซื้อเยอะมาหน่อย ที่เพิ่งขายไปก็ซื้อมา 20 กว่าปี ตรงนั้น 4 ไร่ ขายได้มาเกือบ 100 ล้านบาทซึ่งเราบุ๊คไปเมื่อไตรมาสแรกปีนี้”นายชัยฤทธิ์ กล่าว

โดยการขายที่ดินออกไปในช่วงไตรมาส 1/62 ทำให้บริษัทบันทึกกำไรพิเศษและผลักดันให้กำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นมาที่ 259.22 ล้านบาท และน่าจะผลักดันให้กำไรสุทธิทั้งปี 62 เพิ่มขึ้นจากระดับ 283.68 ล้านบาทในปีที่แล้ว นอกเหนือจากรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มเป็นราว 3 หมื่นล้านบาท จาก 2.8 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว

ส่วนรายได้ที่เติบโตเป็นผลจากปริมาณขายน้ำมันรวมที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 9% เป็น 1,400 ล้านลิตร จากปีก่อนที่ทำได้ 1,259 ล้านลิตร หลังในช่วงไตรมาส 2/62 ปริมาณขายก็เติบโตมาแล้วik; 9% ขณะที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้รายได้เติบโตไม่มากเท่าปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นหลังราคาน้ำมันลดลง รวมถึงยังเติบโตตามปริมาณสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มขึ้น การส่งออก และการขายน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นจากสายการบินต้นทุนต่ำที่ขยายเส้นทางบิน

ทั้งนี้บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันซัสโก้สัดส่วน 40% ส่วนที่เหลืออีก 60% มาจากการขายตรง ,ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เมียนมา ลาว กัมพูชา และการขายน้ำมันอากาศยาน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันอากาศยานราว 6% ขณะปริมาณขายน้ำมันผ่านสถานีบริการของบริษัทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเติบโต 4% มากกว่าตลาดรวมที่โต 2-3% ส่วนหนึ่งมาจากการขยายจำนวนสถานีบริการ

สำหรับราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้สามารถรักษาระดับค่าการตลาดได้ที่ 1.70-1.80 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ทำให้เป็นข้อจำกัดในการขยับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าจะใช้เงินลงทุนในปี 63 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านบาทในปีนี้ ที่ส่วนใหญ่เน้นการขยายสถานีบริการน้ำมันที่วางเป้าจะมี 250 แห่งในสิ้นปี จาก 229 แห่งในสิ้นปีที่แล้ว แต่ในปีหน้านอกเหนือจากการขยายสถานีบริการน้ำมันใหม่อีก 20 แห่ง จะมีการปรับโฉมของสถานีบริการหลังจากไม่ได้ปรับโฉมมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ส่วนจะปรับโฉมครบทุกแห่งคาดว่าจะใช้เวลา 2 ปี

สำหรับการปรับโฉมสถานีเพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น และจะดึงพันธมิตร non-oil ใหม่ ๆ มาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีร้าน Starbucks , KFC ,SUBWAY , MEZZO , ดิโอโร่ เป็นต้น โดยรูปแบบความร่วมมือจะเน้นการแบ่งส่วนกำไร จากเดิมเป็นลักษณะการให้เช่าพื้นที่ ส่วนร้านค้าสะดวกซื้ออย่าง LAWSON 108 ก็จะขยายต่อเนื่องจากปัจจุบันมี 32 แห่ง และเพิ่มเป็น 35 แห่งในสิ้นปี 62 และ 50 แห่งในสิ้นปี 63

ส่วนการขยายสถานีบริการน้ำมันจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลจากเดิมที่ขยายในเมืองรอง หรือเส้นทางรอง เพราะกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการใช้รถยนต์จำนวนมาก อีกทั้งการขยายในพื้นที่ดังกล่าวจะทำให้สามารถขยายธุรกิจ non-oil ได้เพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มการติดแผงโซลาร์บนหลังคาเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วย เพราะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้มาก โดยบางแห่งลดต้นทุนค่าไฟได้ถึง 20% ซึ่งปัจจุบันมีการติดตั้งแล้ว 4 แห่ง และอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติม

สำหรับสถานีบริการ NGV และ LPG ยังมีอยู่ใกล้เคียงเดิม และอาจลดลงบางส่วน โดยสถานีบริการ NGV มี 8 แห่ง และ LPG 12 แห่ง แต่บริษัทไม่ได้ขยายหรือปรับเปลี่ยนมากนักเพราะจุดจำหน่ายอยู่ในพื้นที่สถานีฯ ของบริษัทอยู่แล้ว

 

Back to top button