6 เหตุผลที่ควรมองโลกสวยปี 63

เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 6 วัน ก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือ ปีหน้าจะดีหรือร้ายกว่าปีนี้ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะมองบวกหรือมองลบ แต่เนื่องจากในปีนี้ เราได้ตื่นตระหนกกับข่าวร้ายอย่างสงครามการค้ามานานมากแล้ว น่าจะถึงเวลาที่ต้องพยายามมองโลกให้สวยต้อนรับปีหน้ากันดีกว่า


พลวัตปี 2019 : ฐปนี แก้วแดง(แทน)

เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 6 วัน ก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือ ปีหน้าจะดีหรือร้ายกว่าปีนี้ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะมองบวกหรือมองลบ แต่เนื่องจากในปีนี้ เราได้ตื่นตระหนกกับข่าวร้ายอย่างสงครามการค้ามานานมากแล้ว น่าจะถึงเวลาที่ต้องพยายามมองโลกให้สวยต้อนรับปีหน้ากันดีกว่า

Frederick Kempe นักเขียนระดับเบสต์เซลลิ่ง ซึ่งเป็นประธานและซีอีโอของบริษัท Atlantic Council หนึ่งในสถาบันนักคิดเกี่ยวกับกิจการโลก ที่ทรงอิทธิพลมากสุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ได้อธิบายว่า มี 6 เหตุผลที่เราควรจะมีมุมมองบวกในปี 2563

เหตุผลข้อที่ 1. คือ ความรุ่งเรืองทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น ดัชนีวัดความรุ่งเรืองเลกาตัม ที่มีการเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความรุ่งเรืองมากขึ้นใน 148 ประเทศ และลดลงเพียง 19 ประเทศ จากจำนวน 167 ประเทศที่เลกาตัมได้สำรวจมา ความรุ่งเรืองที่ดีขึ้นนี้มีตั้งแต่ระบบดูแลสุขภาพและการศึกษาของผู้ใหญ่ การให้บริการพื้นฐานจนถึงความมั่นคงทางการเงิน ในขณะเดียวกัน ตัวเลขของธนาคารโลกชี้ว่า ประชาชนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนได้พ้นจากความยากจนอย่างรุนแรงนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 โดยมีสัดส่วนเพียง 10% ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ต่ำสุดนับตั้งแต่ที่ได้มีการบันทึก

2. ประเทศที่เลวร้ายสุดจำนวนหนึ่งกำลังดีขึ้น นิตยสารดิอีโคโนมิสต์ ได้เลือก ให้ “อุซเบกิสถาน”เป็น ดินแดนที่ดีขึ้นมากสุดในปีนี้ โดยเป็นผลมาจากการมีผู้นำอย่างนายกรัฐมนตรี ชัฟคัต มีร์ซีโยเยฟ หลังจากที่เผด็จการ อิสลาม คาริมอฟ เสียชีวิตในปี 2559

ก่อนที่คาริมอฟจะเสียชีวิต อุซเบกิสถานเป็นสังคมปิดที่ไร้ความสามารถและมีความโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ แต่หลังจาก มีร์ซีโยเยฟปลดหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงออกในปี 2561 การปฏิรูปก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ โดยได้ยุติการใช้แรงงานโดยบีบบังคับ ปิดเรือนจำที่เหี้ยมโหดที่สุด เปิดประเทศให้กับนักข่าวต่างชาติและยับยั้งระบบราชการที่รังแกธุรกิจขนาดเล็กเพื่อรับสินบน

ซูดานเป็นประเทศที่สองที่ ดิอีโคโนมิสต์จัดว่าดีขึ้น โดยได้เปลี่ยนจากประเทศที่มีการกดขี่เมื่อมีการประท้วง ที่นำไปสู่การปลด “โอมาร์ อัล-บาชีร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในทรราชที่โหดร้ายที่สุดในโลก

3. ชนชั้นกลางทั่วโลกไม่มากขึ้นและครึ่งหนึ่งของมนุษยชาติอาศัยอยู่ในประเทศประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีความกังวลถึงความไม่เท่าเทียมทั้งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา แต่ได้มีการให้ความสนใจน้อยต่อแนวโน้มในเชิงบวกมากขึ้นว่า ความไม่เท่าเทียมในประเทศต่าง ๆ ได้ลดลงมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของโลกถือว่าเป็นชนชั้นกลาง นอกจากนี้ประมานครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ในขณะนี้อาศัยอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ในขณะนี้มีประชากรที่ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศที่เป็นเผด็จการราว 90% ในประเทศจีน

4. ความขัดแย้งอย่างรุนแรงได้ลดลง ไม่มีสงครามหรือความขัดแย้งในยุโรปตะวันตกมาสามชั่วอายุคนแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการสร้างสหภาพยุโรป (อียู) และมีการสร้างสันติภาพระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ส่วนความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ แม้มีความกังวลมากขึ้นแต่ทั้งสองประเทศก็ไม่ต้องการทำสงคราม ประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1500 ชี้ว่า สองมหาอำนาจชั้นนำของโลกได้ทำสงครามมากกว่าครึ่งเวลา แต่นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ได้มีความสงบเป็นประวัติการณ์

5. เราฉลาดขึ้นและอดทนมากขึ้น บิล เกตส์ได้อ้างคำพูดในหนังสือ Enlightenment Now ของสตีเวน พิงเคอร์ว่า คะแนนไอคิวเฉลี่ยทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นประมาณ 3 ไอคิวคะแนน ทุกทศวรรษ สมองของเด็กกำลังพัฒนาอย่างเต็มที่มากขึ้นเนื่องจากโภชนาการดีขึ้นและสิ่งแวดล้อมสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ บิลเกตส์ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 10 ปีก่อน เรื่องเกย์เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายในเพียง 20 ประเทศ แต่ในขณะนี้มีกว่า 100 ประเทศแล้ว

ผลสำรวจของเลกาตัมชี้ว่า ผู้ที่มีถิ่นพำนักใน 11 ประเทศแสดงความอดทนมากกว่า 10 ปีก่อน โดยเฉพาะในสังคม LGBT หรือสังคมที่มีความหลากหลายทางเพศ (แต่ในขณะเดียวกัน การจัดเสรีภาพในการพูด ชุมนุม และสโมสร ได้ถดถอยลงใน 122 ประเทศ) ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงมีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น โดยในขณะนี้มีสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในห้าของสมาชิกสภาแห่งชาติ โลกรับฟังท่าทีอย่างไม่เคยมีมาก่อนเมื่อสตรีบ่นเรื่องการเลือกปฏิบัติและการจู่โจมทางเพศ

6. เทคโนโลยีสามารถรักษาโลกได้ แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์เป็นสิ่งน่ากลัวมาก โดยมันอาจเพิ่มอำนาจให้แก่ทรราช คุกคามตำแหน่งงานและสร้างความไม่เป็นกลาง แต่ในขณะเดียวกัน ประวัติศาสตร์ได้จมหายไปพร้อมกับตัวอย่างที่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งความก้าวหน้ามากกว่าอันตราย โดยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า อาจทำให้การดูแลสุขภาพดีขึ้นแม้แต่การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ

ในการชักชวนให้มองโลกในแง่ดี  Kempe ขึ้นต้นด้วยการยกคำแนะนำของ วินสตัน เชอร์ชิลว่า “คนที่มองโลกในแง่ร้ายจะเห็นอุปสรรคในทุกโอกาส แต่คนที่มองโลกในด้านบวก จะเห็นโอกาสในทุกอุปสรรค” และตบท้ายด้วยคำสอนของทะไลลามะว่า “เลือกที่จะมีมุมมองบวก แล้วจะรู้สึกดีขึ้น”

ขอให้ทุกท่านฉลองคริสต์มาสในปีนี้ด้วยมุมมองบวก และมองโลกให้สวยต้อนรับปี 63 เข้าไว้ แม้ว่าในความเป็นจริง ปีหน้าโลกอาจจะไม่สวยอย่างที่คิดและยังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกมากก็ตาม

Back to top button