โควิดประทังการเมือง ?

วิกฤติไม่ช่วยพยุงการเมืองเสมอไป ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนสนับสนุนมาก ก็ว่าไปอย่าง


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

ความวิตกกังวลโควิด-19 ดูเหมือนจะเข้ามาประทังปัญหาร้อนแรงทางการเมือง ทั้งแฟลชม็อบนักศึกษา ที่เจ้าหน้าที่ฉวยโอกาสจดชื่อ เลขบัตรประจำตัวประชาชน ผู้ร่วมชุมนุมที่นครสวรรค์

กระแสปรับ ครม. ก็ถูกยั้งไว้ชั่วขณะ แม้คงปรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่จะปรับอย่างไร ดูทางไหนก็แย่ลง เพราะปัจจัยหลัก ไม่ใช่ปรับเพื่อประสิทธิภาพ หากมาจากแรงกดดันของนักการเมืองในพรรค ซึ่งต้องการอย่างน้อย 2 เก้าอี้ ให้ 2 ฮ. “แฮงค์” อนุชา นาคาศัย “เฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส. สายตรงพี่ใหญ่ป่ารอยต่อ

เป้าใหญ่กลายเป็น “สี่ยอดกุมาร” ทีมเศรษฐกิจที่หอบหิ้วมาตั้งแต่ยุครัฐประหาร ซึ่ง “ขาลอย” ไม่มี ส.ส.ในสังกัด แต่ว่าตามเนื้อผ้า แม้ทีมสมคิดได้ชื่อว่า “นักก๊อปประชานิยม” แจกดะ ภาพลักษณ์ก็ยังดีกว่านักการเมืองที่มาตามโควตา

โควิด-19 เลยเข้ามาขัดตาทัพ ประยุทธ์หยุดพูดการเมือง โชว์ภาพให้หมอตรวจไข้ เอาเครื่องวัดจ่อสมอง ดูว่ามีเซลล์ (ไวรัส) หรือไม่

อย่างไรก็ดี วิกฤติไม่ช่วยพยุงการเมืองเสมอไป ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนสนับสนุนมาก ก็ว่าไปอย่าง

แต่อยู่ในสังคมดราม่า ตื่นตระหนก ไม่ไว้วางใจรัฐเป็นทุนเดิม ก็อาจยิ่งแย่ไปใหญ่ เช่น ชาวบ้านนินทา มันเป็นไปได้อย่างไร กระทรวงพาณิชย์ตรวจไม่พบร้านค้าขายหน้ากากอนามัยเกินราคา แต่ประชาชนหาซื้อไม่ได้

กระทรวงสาธารณสุขใช้อวัยวะส่วนไหนคิด แจกหน้ากากอนามัย 1 แสนชิ้น โดยให้ประชาชนถ่อไปถึงกระทรวง เพื่อรับแจกคนละ 3 ชิ้น ในขณะที่โรงพยาบาลโวย หน้ากากไม่พอใช้ นี่ตัดสินใจด้วยเหตุผลทางการแพทย์ หรือหาเสียงทางการเมือง

วิกฤติโควิด-19 มีปัญหามาตลอด ประชาชนเคลือบแคลงรัฐปกปิดข้อมูล เพราะกลัวกระทบการท่องเที่ยวการค้าขาย ซึ่งแน่ละ มันมีเหตุให้สงสัย ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงลำดับต้น ๆ ทำไมป่วยเพิ่มน้อยจัง ก็อาจโชคดีที่ประเทศร้อนจัด ฝนไม่ตก ฯลฯ อธิบายไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เชื่อในระบบสาธารณสุข แพทย์พยาบาลคงไม่มีใครอยากเสี่ยงกั๊กผู้ป่วยไว้ใน โรงพยาบาลตัวเองโดยไม่รายงาน

ปัญหาที่ทำให้คนเคลือบแคลง จึงมาจากท่าที เช่นมัวแต่ห่วงจีดีพี หรือกลัวประชาชนตื่นตระหนก รัฐต้องทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี แต่พอกระแสแรง ก็ตัดสินใจกลับไปกลับมา เดี๋ยวบอกไปหาซื้อหน้ากากเอง เดี๋ยวรัฐมนตรียืนแจกด้วยมือเปล่า ฝรั่งไม่รับไล่กลับประเทศ

สังคมไทยขี้ตื่น เชื่อข่าวลือ ดราม่าเยอะ แถมไม่ไว้ใจรัฐ ต้องจัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ตามหลักวิชา ไม่เว่อร์ ไม่วูบวาบไปตามกระแส และอย่าปากไว รัฐมนตรีคนไหนไม่เกี่ยวก็อย่าเที่ยวพูดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้

พูดอีกอย่าง การรับมือต้องให้แพทย์นำ ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยการเมือง ซึ่งเดี๋ยวก็หาเสียง เดี๋ยวก็กลัวกระทบเศรษฐกิจ เดี๋ยวก็กลัวชาวบ้านด่า

เช่นพอเห็นพาดหัวข่าว “ผีน้อย” 5,000 ตัวขอกลับเมืองไทย สังคมดราม่าก็แตกตื่นขี้เยี่ยวไหล ราวกับกองทัพซอมบี้ห้าพันตัวบุกไทย รองนายกฯ คนหนึ่งบอกไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีกฎหมายให้กักตัว ชาวบ้านด่าขรม อีกคนเลยบอกต้องกัก 14 วัน โดยยังไม่รู้จะเอาค่ายกักกันที่ไหน

อันที่จริงก็เหมือนคนไทยกลับจากจีน ซึ่งกักเฉพาะกลับจากอู่ฮั่น นี่ก็เหมือนกัน ควรกักเฉพาะที่กลับจากแทกู เพียงต้องระวังมากขึ้น เช่นบันทึกประวัติ ให้หน่วยงานในพื้นที่ รพ.สต. อสม. ตามดูอาการ ฯลฯ โดยคนตัดสินใจคือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ดูในภาพรวม จึงไม่เชื่อว่า โควิด-19 จะบรรเทาอาการป่วยทางการเมือง มีแต่จะซ้ำเติม โดนชาวบ้านด่ามากขึ้นเสียมากกว่า

Back to top button