MILL โชว์ไตรมาส 1 “อีบิทด้า” พุ่ง 2 เท่าตัว ฟากต้นทุนลดฮวบหนุน “กำไรขั้นต้น” เพิ่ม 231%

MILL โชว์ไตรมาส 1 “อีบิทด้า” พุ่ง 2 เท่าตัว ฟากต้นทุนลดฮวบหนุน "กำไรขั้นต้น" เพิ่ม 231%


นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 งบการเงินรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 247 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ขาดทุนสุทธิ 190 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม (EBITDA) 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA จำนวน 103 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563  แม้ปริมาณขายผลิตภัณฑ์เหล็กรวมอยู่ที่ 227,692 ตัน ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่บริษัทยังคงสามารถผลักดันยอดขายเหล็กเส้นให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหล็กเส้นมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 3,698 ล้านบาท ลดลง 870 ล้านบาท หรือลดลง 19%  เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562  เนื่องจากสถานการณ์ของราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของไตรมาสนี้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน  ขณะเดียวกันราคาของวัตถุดิบที่ลดลง ก็ส่งผลให้ไตรมาส1/2563 บริษัทมีต้นทุนขายและการบริการลดลง 1,092 ล้านบาท

นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า การปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้น 318 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 222 ล้าบาท หรือเพิ่มขึ้น 231% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 96 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่  8.60% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 2.10%

“การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลดลงของต้นทุนการขายและบริการ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ออกมาค่อนข้างดี  อัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาอยู่ที่ 8.6%  แม้สถานการณ์เหล็กในตลาดโลกจะราคาลดลง  แต่ต้นทุนการขายและบริการก็ลดลงเช่นเดียวกัน“ นายประวิทย์ กล่าว

นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล  โดยได้บันทึกเงินปันผลค้างจ่ายจำนวน 87 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา  และจากผลการดำเนินตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 5,713 ล้านบาท

Back to top button