เปิดโผ 9 หุ้นตัวท็อป! โบรกฯการันตีพื้นฐานแกร่ง-ปันผลโดดเด่นน่าเก็บ

เปิดโผ 9 หุ้นตัวท็อป! โบรกฯการันตีพื้นฐานแกร่ง-ปันผลโดดเด่นน่าเก็บ


ทิศทางตลาดสัปดาห์นี้นักวิเคราะห์คาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,350-1,370 จุด โดยตลาดยังคงติดตามสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 2 ควบคู่ไปกับพัฒนาการของวัคซีน อีกทั้งโฟกัสหลักในระยะนี้อยู่ที่การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ของบริษัทจดทะเบียน นำโดยกลุ่มธนาคารจะประกาศทั้งหมดในสัปดาห์นี้ ส่วนอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นคือการปรับครม.ซึ่งต้องจับตาว่าจะผ่านไปอย่างราบรื่นหรือไม่

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีและปันผลโดเด่นน่าลงทุน มานำเสนอเพื่อรอความชัดเจนประเด็นดังกล่าวโดยอาศัยบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซึ่งได้คัดเลือก 9 หุ้นพื้นฐานดีและปันผลโดดเด่น นำโดย AP,BTS,DRT,INTUCH, HANA,PTT,,RJH,SC และ TISCO ซึ่งระบุเอาไว้ดังนี้

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP  คาด Dividend Yield ปี 63F ไว้ที่ 4% (ในภาวะการณ์ปกติ 6% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 7.20 บาท จุดเด่น คือ ครอบคลุมฐานลูกค้าทั้งแนวราบ และแนวสูง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ผู้บริหารมีประสบการณ์สูง และมีความรู้ด้านการเงินมาก เชื่อว่าจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS  คาด Dividend Yield ปี 63F เท่ากับ 2-3% (ในภาวะการณ์ปกติ 5% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 12.80 บาท ธุรกิจมีความมั่นคง มีโอกาสเติบโตจากการได้เส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง และมีเงินลงทุนที่ดี

บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT คาด Dividend Yield ปี 63F เท่ากับ 4-5% (ในภาวะการณ์ปกติ 6-7%) ราคาพื้นฐาน 6 บาท บริษัทมีการเติบโตของกำไรที่ดี ซึ่งมาจากส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น และมาร์จิ้นแข็งแกร่ง โดยหลักมาจากธุรกิจอิฐมวลเบาที่ทำกำไรได้ดีขึ้น ฐานะการเงินดี จ่ายปันผลสูงและสม่ำเสมอ

บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH คาด Dividend Yield ปี 63F ไว้ที่ 4% (ในภาวะการณ์ปกติประมาณ 4.5-5% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 64 บาท โดยมูลค่าหุ้นเกือบทั้งหมดมาจากการถือหุ้น ADVANC 40.45% (เลือก INTUCH เพราะให้ Dividend Yield สูงกว่า ADVANC ประมาณ 1% ต่อปี)

บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANAาด Dividend Yield ปี 63F ไว้ที่ 2.5-3.0% (ในภาวะการณ์ปกติ 4-5% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 30 บาท จุดเด่น คือ ผลิตชิ้นส่วนฯที่ใช้กับสมาร์ทโฟน ซึ่งมีความต้องการซื้ออยู่สม่ำเสมอในยุค New Normal ไม่มีหนี้ ฐานะเป็นเงินสดสุทธิราว 10 บาท/หุ้น

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT คาด Dividend Yield ปี 63F เท่ากับ 3-3.5% (ในภาวะการณ์ปกติ 5% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 45 บาท จุดเด่น คือ เป็นผู้ประกอบการพลังงานครบวงจร โครงสร้างผู้ถือหุ้นแข็งแกร่ง มีปัจจัยกระตุ้นจากการจะนำบริษัทย่อย  คือ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ

บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH คาด Dividend Yield ปี 63F เท่ากับ 3-4%  (ในภาวะการณ์ปกติ 4-5%) ราคาพื้นฐาน 28 บาท เราชอบที่โรงพยาบาลเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีฐานคนไข้ประกันสังคมที่แข็งแกร่งในพื้นที่จ.อยุธยา โรงพยาบาลมี Economy of scale ดีขึ้นเรื่อยๆ และในปีนี้มีรายได้จากตรวจโควิด-19 เข้ามาช่วยเสริมด้วย

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC คาด Dividend Yield ปี 63F เท่ากับ 4-5% (ในภาวะการณ์ปกติ 7-8% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 2.49 บาท บริษัทมีความมั่นคงในฐานะการเงินและโครงสร้างผู้ถือหุ้น ธุรกิจไปได้ดี สามารถประคองตัวได้ในช่วงวิกฤต และมี Valuation จูงใจ ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/E ปี 63F ที่ 5 เท่า และ P/BV ต่ำเพียง 0.5 เท่า

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO คาด Dividend Yield ปี 63F เท่ากับ 4% (ในภาวะการณ์ปกติ 7-8% ต่อปี) ราคาพื้นฐาน 87 บาท ความน่าสนใจ คือ บริหารงานอย่างอนุรักษ์นิยม เน้นดูแลคุณภาพสินทรัพย์ มีสำรองฯสูง เงินกองทุนแข็งแกร่ง และมี ROE สูงที่ 18-19%

สำหรับองค์ประกอบเกี่ยวกับหุ้นปันผล (High Dividend Stock) และเป็นหุ้นปันผลสูงที่ดีเป็นอย่างไรมีดังนี้

1.ธุรกิจมั่นคง มีเสถียรภาพ เติบโตได้ใน New Normal, 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินสุทธิไม่สูง หรือเป็นเงินสดสุทธิ, 3) ไม่มีแผนลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก, 4) บริหารงานอย่างโปร่งใส และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ สามารถนำพาธุรกิจให้เดินหน้าไปได้ในระยะยาว และ 5) จ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานที่แท้จริง ไม่ได้กู้เงินมาจ่ายปันผลสูงๆ

โดยการคำนวณอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) = เงินปันผลจ่าย / กำไรสุทธิ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) = เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้น

โดยปกติบริษัทจดทะเบียนจะกำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลเอาไว้อยู่แล้ว เช่น จ่ายไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ เป็นต้น รวมถึงอาจมีนโยบายด้วยว่าจะจ่ายปันผลปีละกี่ครั้ง เช่น ทุกไตรมาส, ปีละ 2 ครั้ง, ปีละ 1 ครั้ง ขึ้นกับลักษณะธุรกิจ ความเสถียรของกระแสเงินสดในแต่ละไตรมาส และฐานะทางการเงินของบริษัท

ข้อดีของการมีหุ้นปันผลดีไว้ในพอร์ต หลักๆ คือ

1.ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ในยามวิกฤตและตลาดผันผวนที่ทำให้พอร์ตมี Capital Loss มากจนขายหุ้นไม่ได้เพราะติดสูง ฯลฯ ซึ่งอย่างน้อยก็ได้รับเงินปันผลเข้ามาเป็นระยะ

2.ลดความเสี่ยงพอร์ต เพราะหุ้นปันผลบางตัวมีค่า Beta ต่ำมากจริงๆ เพราะเป็นที่ต้องการของนักลงทุนในช่วงตลาดหุ้นซบเซา ขณะเดียวกันคนที่มีหุ้นก็กอดเอาไว้เพื่อรับปันผล

จังหวะในการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งต้อง Set สมการของตัวเองไว้ว่าเราต้องการอะไรจากหุ้นปันผลสมมติว่าตั้งหลักโดยใช้มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเป็นตัวตั้ง (ซึ่งต้องมั่นใจว่าราคาพื้นฐานที่เราจะใช้อ้างอิงเป็นราคาที่มีความน่าเชื่อถือ) และคาดหวัง Capital Gain 10% ดังนั้น ราคาหุ้นที่จะซื้อก็ต้องมี Upside จากราคาที่จะซื้อไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อบวกกับ Dividend Yield ที่จะได้รับก็จะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวังราว 13-18% เป็นต้น

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button