SCM เคาะราคาไอพีโอ 1.90 บ. ปักธงเทรด SET 8 ก.ย.63

SCM เคาะราคาไอพีโอ 1.90 บ. ปักธงเทรด SET 8 ก.ย.63


นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ ภายหลัง IPO  โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 27, 28, 31 สิงหาคม 2563 และ 1 กันยายน 2563 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 8 กันยายน 2563 ในกลุ่มพาณิชย์ โดยใช้ชื่อย่อการซื้อขายว่า SCM

สำหรับการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่าย 6 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน),บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ การกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอของ SCM ที่ระดับ 1.90 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ก่อนการเพิ่มทุน เท่ากับ 13.86 เท่า ซึ่งราคาดังกล่าวถือว่า เป็นระดับราคาที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ฐานะทางการเงินที่มั่นคง และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต จากปัจจัยบวกเรื่องโรงงานผลิตสินค้าแห่งใหม่และความชัดเจนในข้อกฎหมายขายตรงในประเทศพม่า

นายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการะดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนหมุนเวียนในกิจการเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งรวมถึงแผนการพิจารณาออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้สอดรับกระแสผู้บริโภคในยุค New Normal ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น และเป็นกลุ่ม High growth ที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจ SCM ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต รวมถึงการมุ่งเน้นพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและ E-marketing

เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการปรับปรุงสาขาเพื่อให้มีความทันสมัยพร้อมตอบโจทย์ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างเต็มที่

อนึ่ง SCM ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในรูปแบบ Network Marketing ผ่านนักธุรกิจในประเทศและตัวแทนจัดจำหน่ายต่างประเทศ มีธุรกิจ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่าย จำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งในและต่างประเทศ เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ สามารถจำแนกเป็น 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่

กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว

กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าใช้ในครัวเรือน

กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร

กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี

กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา เพื่อสนับสนุนธุรกิจเครือข่ายในประเทศและตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่มีเครือข่ายสมาชิกและฐานลูกค้าเป็นของตนเอง และ

กลุ่มธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า เพื่อดำเนินการเป็นโรงงานผลิตสินค้าให้แก่บริษัทภายในกลุ่ม SCM

ด้านนายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM กล่าวว่า จุดแข็งที่สำคัญของ SCM คือ การมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 1.8 แสนคนทั่วประเทศ โดยมีสาขาเพื่อกระจายสินค้าอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทย 23 แห่ง อีกทั้งยังมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ เพื่อเป็นช่องทางกระจายสินค้าในประเทศแถบ AEC ประกอบด้วยประเทศ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์

“SCM ถือเป็นธุรกิจเครือข่ายรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สะท้อนให้เห็นว่า เราคือ “ตัวจริง” เห็นได้จากยอดขายในช่วงที่ผ่านมา เติบโตแบบพุ่งทะยาน 1 พันล้านบาท/ ปี โดย SCM มุ่งมั่นที่จะสร้างแบรนด์คนไทย ที่ไม่ใช่แค่แข่งขันในธุรกิจเครือข่ายในประเทศเท่านั้น แต่เราต้องการเป็นแบรนด์คนไทยที่แข่งขันในระดับอินเตอร์ได้” นายนพกฤษฏิ์ กล่าว

ทั้งนี้ รายได้รวมในงวดปี 2562 เท่ากับ 1,100.76 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 59.04 ล้านบาท ในขณะที่รายได้รวมงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เท่ากับ  417.77 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 19.46 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจาก 16.82 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.73

Back to top button