ผถห. SSP โหวตปันผลงวดปี 62 ที่ 0.11บ/หุ้น ขึ้น XD 15 ต.ค. เคาะจ่าย 4 พ.ย.นี้

ผถห. SSP โหวตปันผลงวดปี 62 ที่ 0.11บ/หุ้น ขึ้น XD 15 ต.ค. เคาะจ่าย 4 พ.ย.นี้


นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2562 เป็นเงินสดในอัตรา 0.11 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) เป็นวันที่ 15 ตุลาคม 2563 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 14 ตุลาคม 2563 ซึ่งกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563

สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์โดยรวมเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หากเทียบกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เพราะการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 มีการควบคุมได้ดี ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ขณะที่บริษัทฯยังคงเดินหน้ารับรู้รายได้การขายไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์ม ประเทศเวียดนาม และมองโกเลีย รวม 55 เมกะวัตต์

ตลอดจนโรงไฟฟ้าซึ่งเปิดดำเนินการระหว่างปี 2561 ทั้งในไทยและญี่ปุ่นรับรู้รายได้เต็มปี รวมถึงในไตรมาส 2/2563 ยังเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มจากโครงการ Yamaga ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ เพิ่มเติม ส่งผลให้ปัจจุบัน SSP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในมือรวม 142 เมกะวัตต์

“ปีนี้บริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นหากเทียบกับปีก่อน ดังนั้นคาดว่าจะช่วยสนับสนุนผลงานทำสถิติสูงสุดได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาโครงการในอนาคต ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ โรงไฟฟ้าชุมชน ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมที่จะเดินหน้ายื่นประมูล ส่วนโครงการในต่างประเทศ  เช่น ประเทศเวียดนาม โครงการโรงไฟฟ้าขนาด 40 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ และคาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนในปลายปีนี้ รวมทั้งยังมีการศึกษาการลงทุนในโครงการในเมียนมา และมาเลเซียอีกด้วย” นายวรุตม์ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเดินหน้ามองหาโครงการใหม่ มาเติมในพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายได้และกำไรทำสถิติสูงสุดมาตลอด ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯมีเป้าหมายต้องการมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 400 เมกะวัตต์ ภายใน 3-5 ปี ข้างหน้า

Back to top button