BAY แรงไม่หยุด! บ่ายพุ่งซิลลิ่ง รับนำ “เงินติดล้อ” เข้าระดมทุนใน SET ฟากราคายังต่ำบุ๊ก!

BAY แรงไม่หยุด! บ่ายพุ่งซิลลิ่ง รับนำ "เงินติดล้อ" เข้าระดมทุนใน SET ฟากราคายังต่ำบุ๊ก!


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ณ เวลา 16.05 น. อยู่ที่ระดับ 33.25 บาท บวก 7.50 บาท หรือ 29.13% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 699.66 ล้านบาท ราคาหุ้นชนซิลลิ่งของวันที่ระดับ 33.25 บาท วิ่งแรงในรอบ 14เดือน เทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 33.25 บาท เมื่อวันที่ 7 9.8.62 ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 38.67

โดยวานนี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY แจ้งว่า บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ NTL ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของธนาคาร และ Siam Asia Credit Access Pte Ltd (SACA) ถือหุ้นฝ่ายละ 50% ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในวันนี้ (24 ธ.ค.) โดยธนาคาร ในฐานะผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจพิจารณาเสนอขายหุ้นบางส่วนที่ถืออยู่ในคราวเดียวกับการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จึงได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานก.ล.ต.ไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ บมจ.เงินติดล้อ จะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 1,043,542,800 หุ้น พาร์หุ้นละ 3.70 บาท ประกอบด้วย จำนวนหุ้นสามัญที่ออกใหม่ที่เสนอขายโดยเงินติดล้อ ไม่เกิน 210,816,700 หุ้น และ หุ้นสามัญเดิมที่อาจเสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม ไม่เกิน 832,726,100 หุ้น ซึ่งแบ่งเป็น 1.หุ้นของ BAY  ไม่เกิน 284,144,300 หุ้น  2. หุ้นของ SACA ไม่เกิน 412,467,600 หุ้น และ 3. หุ้นสามัญเดิมที่ผู้จัดสรรหุ้นส่วนเกินอาจขอยืมจาก BAY และ SACA รวมกันไม่เกิน 136,114,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมดใน IPO เพื่อรองรับกรณีที่ต้องมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน

โดยบมจ.เงินติดล้อ เป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำที่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ให้บริการภายใต้ชื่อแบรนด์ “เงินติดล้อ” มีแผนที่จะระดมทุนเพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับราคาเสนอขายหุ้น IPO จะมีการกำหนดต่อไปภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว

ภายหลังการขาย IPO และการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมจะทำให้สัดสว่นการถือหุ้นของ BAY ลดลง ดังนี้ 1. ในกรณีที่ไม่มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกิน สัดส่วนการถือหุ้นสามัญของธนาคารจะลดลงเป็นไม่ต่ำกว่า 33.20% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และ 2. ในกรณีที่มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน สัดส่วนการถือหุ้นสามัญของธนาคารจะลดลงเป็นไม่ต่ำกว่า 30% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

Back to top button