7 ธีมลงทุน

มีข้อมูลการลงทุนที่น่าสนใจจากงาน The Year Ahead 2021


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

มีข้อมูลการลงทุนที่น่าสนใจจากงาน The Year Ahead 2021

งานนี้ จัดเป็นสัมมนาใหญ่ประจำปี ของ บล.เกียรตินาคินภัทร  สำหรับลูกค้า Wealth Management มี “ทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) มาให้ข้อมูล

เป็นมุมมองในช่วง Harvesting Return in the Post-COVID World

หรือเกี่ยวกับ “การจัดสรรพอร์ตการลงทุน เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและเปิดโอกาสรับประโยชน์จากพัฒนาการในหลายอุตสาหกรรมที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากสถานการณ์ของโควิด-19”

เริ่มต้น ทวีศักดิ์ บอกว่าความสำเร็จในการลงทุนขึ้นอยู่กับการวางกลยุทธ์ระยะยาว

โดยเฉพาะในช่วงเวลาของวิกฤติโควิด ทำให้ “เทรนด์ระยะยาว” ที่มีอยู่แล้วถูกเร่งตัวขึ้นอย่างมาก

อย่างช่วงใน 3-4 ปีที่ผ่านมา

กลยุทธ์การปรับพอร์ตระยะยาวที่มุ่งเน้นคือ “การลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศ” และ “เพิ่มการลงทุนต่างประเทศ”

และให้เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต

เหตุผลจากโอกาสการลงทุนในต่างประเทศดีกว่า

ส่วนหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเชิงโครงสร้างจากการเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” และข้อจำกัดของ “นโยบายการเงิน

ยิ่งกว่านั้น บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยเป็นจำนวนมากยังได้รับผลกระทบจาก Technology disruption

ทำให้หุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นไทยค่อนข้างมากในหลายปีที่ผ่านมา และน่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

CIO Office มีมุมมองระยะยาว 4 มุมมอง ที่จะมีนัยสำคัญต่อการลงทุน

มุมมองแรกคือการเร่งตัวของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เช่น การทำงาน, การซื้อสินค้าบริการ หรือความบันเทิงและนันทนาการ

มุมมองที่สองคือความเสื่อมถอยของกระแสโลกาภิวัตน์ หรือ De-globalization มุมมองนี้ ดำเนินมาสักระยะหนึ่งแล้ว และทำให้ภาคธุรกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วดึงฐานการผลิตกลับประเทศ ส่งผลให้นำระบบอัตโนมัติ (Automation) และหุ่นยนต์มาใช้การผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ

มุมมองสามคือ secular stagnation หรือภาวะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ, เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเทรนด์นี้จะส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

และมุมมองที่สี่คือ ภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำประกอบกับการทำ QE ของธนาคารกลางประเทศหลัก ๆ ได้ทำให้ราคาสินทรัพย์การลงทุนเป็นจำนวนมากปรับขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนต้องจับตาดูความเสี่ยงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะกลับมาปรับขึ้นแรงจนทำให้ราคาสินทรัพย์การลงทุนร่วงลงอย่างแรงคล้ายกับภาวะฟองสบู่แตก

CIO Office ยังไม่คิดว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ครับ

ทว่า ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง โดยความเสี่ยงนี้อาจจะถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้นจาก

1)การที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินมาซื้อพันธบัตรของรัฐบาลตัวเองในปริมาณมากเกินไป

2)ความเสื่อมอย่างรุนแรงของดอลลาร์สหรัฐ

หรือ 3)ความเหลื่อมล้ำขั้นรุนแรง

การที่จะหาการลงทุนที่จะได้รับประโยชน์จากมุมมองระยะยาว

เขาแนะนำการลงทุนแบบธีม (Thematic investments) แยกส่วนออกมาจากพอร์ตการลงทุนหลัก และประกอบด้วย 7 ธีม

เริ่มจาก 1) New Consumers, 2) Technology Backbone, 3) Healthcare, 4) Quality stocks, 5) De-globalization and Race to Supremacy, 6) Alternative Store of Value และ 7) Environmental

นักลงทุนสามารถลงทุนในธีมเหล่านี้ผ่าน Thematic ETF ที่มีข้อดีคือค่าธรรมเนียมที่ต่ำ

และส่วนใหญ่มีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่เป็น Pure play จะมีธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธีมในสัดส่วนที่น้อย

CIO Office บอกอีกว่า วิกฤตโควิดอาจจะซ้ำเติมศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

แต่ระยะสั้นเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวได้ดีหลังจากการฉีดวัคซีนในวงกว้าง และการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่จากรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก

ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับขึ้นมารับมุมมองดังกล่าวแล้วระดับหนึ่ง

และบางตลาดราคาก็ค่อนข้างตึงตัวแล้ว

ดังนั้น “ตลาดอาจจะย่อตัว” ในระยะสั้น ๆ

ส่วนในกรอบ 6-12 เดือน ยังน่าจะเป็นขาขึ้นได้ ถ้าดูหุ้นรายกลุ่ม จึงแนะนำให้ “ปรับพอร์ต” เอียงไปทางหุ้นกลุ่มที่เป็น Cyclical และ Value ที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เช่น financials, industrials, materials รวมทั้งหุ้น small cap

และมองว่าหุ้น Technology และ Growth ที่ปรับขึ้นแรงในปี 2563 จะให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าตลาด

ขณะที่หุ้นในกลุ่ม Growth และ Technology เป็นจำนวนมากจะเป็นหุ้นที่เป็นส่วนหนึ่งของ Thematic investment ที่ได้แนะนำ หากราคาปรับลดลงมาในระดับเหมาะสม

ก็ให้เข้าซื้อเพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว

Back to top button