SSP บวก 3% ลุ้นกำไรไตรมาส 4 โต 30% จับตาปี 64 กำลังผลิตแตะ 200MW

SSP บวก 3% ลุ้นกำไรไตรมาส 4 โต 30% จับตาปี 64 กำลังผลิตแตะ 200MW ล่าสุดอยู่ที่ 14.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.80% มูลค่าซื้อขาย 38.07 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP ล่าสุด ณ เวลา 10.18 น. อยู่ที่ 14.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.80% สูงสุดที่ 14.90 บาท ต่ำสุดที่ 14.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38.07 ล้านบาท

โดย นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ยังคงเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) โครงการ Leo1 ในประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ (MW) โดยคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในไตรมาส 3/2564

รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (วินด์ฟาร์ม) ที่ประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ คาดสามารถ COD ในไตรมาส 4/2564 จะผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการ Leo2 ในประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 17 เมกะวัตต์ คาดสามารถ COD ในปี 2566

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 143 เมกะวัตต์ (MW) และมี Backlog ในมืออีกกว่า 134.6 เมกะวัตต์ ซึ่งเตรียมทยอย COD ภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยบริษัทมีการรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์มประเทศเวียดนามและมองโกเลีย รวม 55 เมกะวัตต์ ตลอดจนโรงไฟฟ้า ซึ่งเปิดดำเนินการระหว่างปี 2561 ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น รับรู้รายได้เต็มปี ส่งผลให้ในปัจจุบัน SSP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในมือรวม 143 เมกะวัตต์ ก่อนที่จะขยับเป็น 200 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2564 และวางเป้าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ ผลักดันผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

ด้าน บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SSP ราคาเป้าหมาย 15 บาท/หุ้น สะท้อนการปรับประมาณการใหม่ ทั้งนี้ประเมินกำไรปกติไตรมาส 4/63 ที่ 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการ COD โครงการใหม่ 27MW ในขณะที่เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ลดลง 14% จากปัจจัยฤดูกาล

โดยบริษัทยังคงตั้งเป้ากำลังผลิตครบ 400MW ภายใน 5 ปี ซึ่งมีพัฒนาการที่ดีโดยเฉพาะการมีโอกาสสูงมากที่จะได้โครงการลมเวียดนามเฟส 2 (38MWe) มาพัฒนาต่อหลังได้ PPA เฟส 1 ไปแล้ว นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายโครงการในภูมิภาคเอเชีย คาดเห็นความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564 ส่งผลให้มีการปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564-2567  ขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยใหม่ 2564-2567 CAGR ที่ 15% จากเดิม 7% สะท้อนกำลังการผลิตจากโครงการใหม่ (โครงการลมเวียดนามเฟส 1-2 โดย COD ในปี 2564 และ 2567) ซึ่งจะเพิ่มจากกำลังการผลิตในประมาณการเดิมของบล.เคทีบีเอสที อีกกว่า 40%

Back to top button