OR ทะยานต่อ 9% เก็งฯ เข้า SET50-MSCI จับตากำไรโตยาว

OR ทะยานต่อ 9% เก็งฯ เข้า SET50-MSCI จับตากำไรโตยาว ล่าสุดอยู่ที่ 31.75 บาท บวก 2.50 บาท หรือ 8.55% มูลค่าซื้อขาย 7.20 พันล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ล่าสุด ณ เวลา 10.24 น. อยู่ที่ 31.75 บาท บวก 2.50 บาท หรือ 8.55% สูงสุดที่ 32.50 บาท ต่ำสุด 30.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.20 พันล้านบาท

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า จะนำหลักทรัพย์บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายวันแรก เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 เข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. 2564 เป็นต้นไป

โดยจะถอดหลักทรัพย์บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ออกจากการคำนวณดัชนี SET50 และถอดหุ้นบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ออกจากการคำนวณดัชนี SET100 ไปอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์สำรอง (Reserve List) ของแต่ละดัชนีตามลำดับ

ทั้งนี้นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดย OR เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีรายได้และกำไรมาจากธุรกิจน้ำมัน, ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (นอนออยล์) และธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง และเป็นหุ้นปันผลเช่นกัน เนื่องจากนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ และตั้งใจจะจ่าย 2 ครั้งต่อปี

สำหรับราคาหุ้น OR หลังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 เป็นวันแรก โดยเปิดที่ราคา 26.50 บาท และปิดตลาดที่ราคา 29.25 บาท เพิ่มขึ้น 62.50% จากราคา IPO ที่ 18 บาทต่อหุ้น มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 339,592.50 ล้านบาท คาดว่าจะได้เข้าไปคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ Fast-track ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือวันที่ 17 ก.พ. 2564 อีกทั้งยังคาดว่าจะได้เข้าดัชนี FTSE ในวันที่ 19-20 ก.พ. 2564 และดัชนี MSCI ในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2564

โดยบริษัทมีแผนขยายธุรกิจของบริษัทนั้น ตามแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2564-2568) จะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 7.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การขยายธุรกิจน้ำมัน ขยายสถานีบริการน้ำมันในประเทศ 100 แห่งต่อปี ขณะที่ธุรกิจนอนออยล์ จะขยายสาขาร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน 400 สาขาต่อปี อีกทั้งยังมีการลงทุนศูนย์กระจายสินค้าของคาเฟ่ อเมซอน รวมถึงโรงงานเบเกอรี่ในปี 2564 เพื่อลดต้นทุนในการผลิต

ขณะที่ แผนขยายธุรกิจในต่างประเทศนั้น การลงทุนต่อเนื่องใน 3 ประเทศหลัก ประกอบด้วย สปป.ลาว, กัมพูชา และฟิลิปปินส์ โดยตั้งเป้าขยายสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่นเป็น 650 แห่ง จากเดิม 350 แห่ง, ร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน เพิ่มเป็น 550 แห่ง จากเดิม 200-240 แห่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร พร้อมกันนั้นยังมองโอกาสขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ แผนลงทุน 5 ปี บริษัทจะเตรียมแผนการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) เพื่อเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งเป็นวิธีใหม่ของ OR เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภครวดเร็วมากขึ้น เบื้องต้นมองไว้ 2 รูปแบบ คือ Mobility และ Lifestyle โดยในส่วนนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะทำให้กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้น

โดยวางเป้าหมาย EBITDA ตามแผน 5 ปี แบ่งเป็น ธุรกิจนอนออยล์ จากปัจุจบันอยู่ที่ 25% จะเติบโตเป็น 32-33% ธุรกิจต่างประเทศ จากปัจจุบัน 5% เติบโตเป็น 13% ขณะที่ธุรกิจน้ำมันจะปรับตัวลงมาเล็กน้อย จากปัจจุบัน 68-69% ลดเหลือ 52%

ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น OR มองน่าสนใจ เพราะ 1) Valuation ไม่ถือว่าสูง เทียบกับการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดทั้งธุรกิจ Oil และNon-oil 2) ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศอยู่ใน growth cycle 3) สภาพการแข่งขันเอื้อต่อกลยุทธ์การเติบโตของ OR 4) คาดมีแรงหนุนการเติบโตจากธุรกิจในต่างประเทศ ที่การแย่งส่วนแบ่งตลาดเป็นเชิงรุกมากขึ้น และ 5) คาดกำไรโตทุกปีในปี 2564-2566 เฉลี่ยราว 11% CAGR

Back to top button