STARK ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% ทุบสถิติ “ออลไทม์ไฮ” รับธุรกิจไฟฟ้า-สายเคเบิ้ลสดใส

STARK ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% ทุบสถิติ "ออลไทม์ไฮ" รับธุรกิจไฟฟ้า-สายเคเบิ้ลสดใส


นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,608.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,198.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 123.92 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,858.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,528.85 ล้านบาท

โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น เนื่องจากการผนึกร่วมกำลังทางธุรกิจภายหลังที่บริษัทฯเข้าลงทุนในเวียดนาม เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ประกอบกับกลยุทธ์มุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High margin โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ (Medium – Extra High Voltage) ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงตามจำนวนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชนที่มากขึ้น

“การเข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม ส่งผลทำให้บริษัทฯ สามารถรวมกลุ่มคำสั่งซื้อวัตถุดิบทองแดง และอะลูมิเนียม ทำให้มีต้นทุนที่ลดลง อีกทั้งยังแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคในการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งลดอัตราการสูญเสียในกระบวนการผลิตอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย และการมุ่งเน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ลดการขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำ ยังส่งผลทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในปี 2563 เติบโตกว่า 1,198% อีกด้วย”

ขณะที่ดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้อยู่ที่ประมาณ 15-20% จากปีก่อน และคาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ เนื่องจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรม ซึ่งจากแผนการลงทุน 5 ปี (2563-2567) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 2 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนพัฒนาระบบส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า และแผนสนับสนุนการลงทุนโรงไฟฟ้าจากต่างชาติของรัฐบาลเวียดนาม เพื่อจะได้มีพลังงานไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

สำหรับกลยุทธ์การเติบโตจากนี้ไป บริษัทฯจะมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High Margin เช่น สายไฟฟ้าประเภท Medium / High / Extra High voltage ที่มีความต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสายไฟสำหรับระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Photovoltaic cable) ที่ได้มาตราฐานระดับโลก ตลอดจนการพัฒนาสายเคเบิ้ลใต้น้ำ (Submarine cable) ที่มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากจากโครงการพลังงานทดแทนต่างๆ เช่น กังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่ติดตั้งในทะเล (Offshore wind turbine) แผงโซลาร์เซลล์บนโครงสร้างที่ลอยอยู่ในน้ำ (Floating solar) เป็นต้น พร้อมให้ความสำคัญในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานในประเทศไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

ส่วนโอกาสในตลาดต่างประเทศ บริษัทฯคาดว่าสัดส่วนรายได้จากการส่งออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 10-12% จากการส่งออกประมาณ 50 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกประมาณ 8% โดยมีการส่งออกประมาณ 40 ประเทศ

Back to top button