LPH ปักธงรายได้ปี 64 โต 20% ทุ่มงบ 1.2 พันลบ.ขยายธุรกิจ-เล็งซื้อรพ. 1 แห่ง

LPH ปักธงรายได้ปี 64 โต 20% ทุ่มงบ 1.2 พันลบ.ขยายธุรกิจ-เล็งซื้อรพ. 1 แห่ง


ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยถึง ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดปี 2563 (สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2563)  มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 142.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.39 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 29.32%

โดยมีรายได้รวม 1,814.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.64% โดยมีรายได้จากการรักษาพยาบาล 1,553.45 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12.27% จากการขยายการบริการตรวจสุขภาพ ทำให้ในด้านผู้ป่วยทั่วไปเพิ่มขึ้น 4.59% และรายรับค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น 27.02% เมื่อเทียบกับรายได้หลังปรับปรุงของปีที่ผ่านมา

โดยมีสาเหตุหลักจากการที่สำนักงานประกันสังคมปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ในปี 2563 ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคม และรายได้จากการบริการของบริษัทย่อย มีจำนวน 247.81 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2562 คิดเป็น 25.31% โดยสัดส่วนรายได้ 88.67% เป็นการเติบโตของรายได้จากธุรกิจศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเชีย (AMARC) และจากธุรกิจบริการตรวจสุขภาพ (AH) 11.33% ซึ่งกลุ่มธุรกิจของบริษัทย่อยที่เติบโต เกี่ยวข้องกับบริการที่จำเป็นเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจโดยรวมไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้า จากเหตุการณ์ล็อกดาวน์ และมาตรการที่เกี่ยวข้องสืบเนื่องจากการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และสะท้อนความเชื่อมั่นการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 78.91% จากผลประกอบการกำไรสุทธิประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท  โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท คงเหลือการจ่ายเงินปันผลอีกในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท วันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล วันที่ 6 พฤษภาคม  2564 วันที่จ่ายปันผล  21 พฤษภาคม 2564

สำหรับแผนธุรกิจปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในปี 2564 บริษัทกลับมาเติบโตในระดับปกติ เนื่องจากปีนี้โรงพยาบาลได้โควต้าผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน จากเดิม 1.61 แสนคน เป็น 1.71 แสนคน คาดหนุนรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น 5% ประกอบกับจำนวนฐานผู้ป่วยเงินสดเดิมที่ยังเหนียวแน่น และฐานผู้ป่วยเงินสดใหม่ขยายตัว ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางที่ให้บริการในเขตที่มีประชากรหนาแน่น และไม่ได้มีการขึ้นอัตราค่ารักษาสุขภาพในช่วงเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงประเมินว่ารายได้ส่วนนี้จะขยายตัวมากถึง 25-30% จากปี 2563

นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลลาดพร้าว ยังได้เพิ่มแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อมั่นในการเลือกการรักษากับหมอที่เก่งในราคาที่เหมาะสม ขณะที่การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 ทำให้ปัญหาการจราจรเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

ดร.อังกูร กล่าวต่อว่า ในปี 2564 บริษัทวางงบลงทุนไว้ประมาณ 1,200 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. การเจรจากับพันธมิตร เพื่อเข้าไปลงทุนในโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 1 ราย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่มีกำไรที่ดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาราคาที่จะเข้าไปลงทุน เบื้องต้นวางงบลงทุนไว้ประมาณ 800 ล้านบาท คาดใช้ระยะเวลา 6 เดือน เพื่อสรุปความชัดเจนว่าจะลงทุนหรือไม่ โดยหากบริษัทเข้าลงทุนแล้วในอนาคตมีแผนที่จะนำโรงพยาบาลดังกล่าว เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต่อไป

2.แผนการลงทุนโครงการบ้านพักผู้สูงอายุ บริษัทสนใจซื้อวิลลาที่เขาใหญ่ ซึ่งเดิมผู้ประกอบการจะทำเป็นวิลล่า แต่เมื่อเจอสถานการณ์โควิด-19 การก่อสร้างได้หยุดชะงัก จึงมีแผนจะปรับมาเป็นบ้านพักผู้สูงอายุ สอดคล้องกับนโยบายบริษัท ด้วยมูลค่าราว 250 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาคาดชัดเจนในไตรมาส 1/ 2564  ซึ่งทั้ง 2 โครงการ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับหลักการไปแล้ว รอเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย.2564

ส่วนปี 2565 มีแผนสร้างโรงพยาบาลอีก 2 แห่ง เป็นโรงพยาบาลตา และโรงพยาบาลเฉพาะทาง ขนาด 30 เตียง โดยจะเป็นศูนย์โรคหัวใจ ตับ ไต ห้องไอซียู ห้องผ่าตัดที่ทันสมัย เพื่อยกระดับโรงพยาบาล ลาดพร้าว เป็นโรงพยาบาลระดับสูงที่ทันสมัย มีแพทย์เฉพาะทางที่เก่ง ในบริเวณพื้นที่โรงพยาบาลเดิม (เช่า 30 ปี) มูลค่ารวมประมาณ 400 ล้านบาท หรือลงทุน 200 ล้านบาทต่อโครงการ และการลงทุนการขยายพื้นที่บริการอาคารจอดรถอัจฉริยะ จะใช้เวลานาน 1 ปี จากเดิม 6 เดือน คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2564

ขณะที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ มองว่าจะสามารถควบคุมได้ และโรงพยาบาลเอกชนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยปัจจุบันทางโรงพยาบาลฯ ได้มีให้บริการโปรแกรมการตรวจคัดกรองโรคหาภูมิคุ้มกันโควิด-19 รองรับบริการ

Back to top button