III แรลลี่ยาว! บวกอีก 10% “ออลไทม์ไฮ” ลุ้น Q2 สดใสต่อเนื่อง-ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตกว่า 20%

III แรลลี่ยาว! บวกอีก 10% “ออลไทม์ไฮ” โดย ณ เวลา 11.41 น. อยู่ที่ระดับ 13.50 บาท บวก 1.20 บาท ลุ้น Q2 สดใสต่อเนื่อง-ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตกว่า 20%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2 มิ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III  ณ เวลา 11.41 น. อยู่ที่ระดับ 13.50 บาท บวก 1.20 บาท หรือ 9.76% สูงสุดที่ระดับ 13.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.01 พันล้านบาท โดยราคาหุ้น III  ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดเมื่อวันที่ 9 ก.ย.60

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 77.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.54 ล้านบาท และมีรายได้รวม 407.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 633.1 ล้านบาท

ทั้งนี้การเติบโตของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2564 เป็นผลมาจากธุรกิจหลักที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน รวมถึงการเข้าลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศและภูมิภาค เพื่อบริหารความเสี่ยง และการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์รูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 สดใส คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ยังโตโดดเด่นตามแผนธุรกิจ

โดยก่อนหน้านายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร III เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 1,607.4 ล้านบาท โดยการขยายธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศในรูปแบบของ Cargo Flight เนื่องจากมองว่าการใช้เครื่องบินสำหรับเดินทางจะกลับมาได้เต็ม 100% ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ดังนั้นจึงนำเครื่องบินมาใช้สำหรับขนส่งสินค้า

สำหรับกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลและทางบกในปี 2564 สายการเดินเรือ CK Line ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน ได้มีการศึกษาเส้นทางใหม่ เพื่อขยายการให้บริการใน North Asia โดยมีแผนขยายเส้นทางผ่าน ฮ่องกง ปูซาน จีน และส่งสินค้าต่อไปที่ญี่ปุ่นและจีนตอนเหนือ คาดว่าเริ่มให้บริการได้ในช่วงปลายไตรมาส 1/2564

ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการให้บริการแบบครบวงจร ทั้งการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การให้บริการคลังสินค้าและการกระจายสินค้าภายในประเทศ โดยจะเน้นลูกค้า 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ สุขภาพและความงาม และกลุ่มลูกค้าอีคอมเมิร์ซ

ส่วนกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์ บริษัทจะเพิ่มอัตราการใช้พื้นที่จัดเก็บและการขยายพื้นที่คลังสินค้าอันตราย 2,000-2,500 ตร.ม. ภายในครึ่งแรกของปี 2564 จากปัจจุบันอยู่ที่ 20,000 ตร.ม.ในโซนบางนา บางปะกง และลาดกระบัง รวมทั้งพัฒนาบริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรองรับกลุ่มยาและวัคซีน

นายทิพย์ กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทมีแผนการพัฒนาธุรกิจและบริการด้านโลจิสติกส์ใหม่ ๆ ประกอบด้วย การพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ภายในประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าอีคอมเมิร์ซ, ธุรกิจการให้บริการ E-commerce enabler ซึ่งเป็นบริการด้าน Fulfillment ครบวงจร, การพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าทางบกผ่านระบบรางภายในประเทศ คาดจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/2564 และการให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialized logistics) มุ่งเน้นการให้บริการขนส่งสินค้าประเภทยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจทั้งจากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมลงทุน (JV) โดยล่าสุด บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นสามัญใน บริษัท เอ.ที.พี.เฟรนด์ เซอร์วิส จำกัด (Shipsmile) จำนวน 10,200 หุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Shipsmile จากผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ บริษัท แฟลช มันนี่ จำกัด ในราคาไม่เกิน 105 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ภายในประเทศ

โดย Shipsmile ประกอบธุรกิจในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ให้ผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1,500 สาขา ในการขนส่งพัสดุ และเป็นจุดรวบรวมการขนส่งพัสดุภายในประเทศจากบริษัทขนส่งชั้นนำ เช่น แฟลช เอ็กซ์เพรส (Flash), ไปรษณีย์ไทย และ DHL เป็นต้น ซึ่งในปี 2564 มีแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 3,000 สาขา และภายใน 3 ปีข้างหน้า จะเป็น 5,000 สาขา

ขณะเดียวกัน บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใน บริษัท เมคเซนด์ เอ็กซ์เพรส จำกัด (Makesend) ซึ่งประกอบธุรกิจการให้บริการขนส่งภายในวันเดียว หรือ Same-daydelivery จำนวน 120,000 หุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเพิ่มทุน จากเดิมมีหุ้นสามัญทั้งหมด 280,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคารวมไม่เกิน 9 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ Same-daydelivery ในต่างจังหวัด จากปัจจุบัน Makesend ให้บริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

“ในปี 2564 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 800 ล้านบาท ใช้สำหรับรองรับ M&A โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรอีก 2-3 ราย เพื่อเข้าลงทุนในรูปแบบ M&A หรือ JV คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 2564 และการลงทุนด้านการขนส่งผ่านระบบรางในประเทศ และการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ” นายทิพย์ กล่าว

 

Back to top button