FVC มั่นใจรายได้ปีนี้มากกว่าปีก่อน-คาดปี 59-60 รายได้สูงกว่า 500 ลบ./ปี

FVC มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่ 383.27 ล้านบาท คาดปี 59-60 รายได้สูงกว่า 500 ลบ./ปี เตรียมขยายศูนย์ไตเทียมเพิ่มปลายปีนี้ และในปี 59 อีก 3 สาขา ใช้งบลงทุนราว 50 ล้านบาท/สาขา น่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงต้นปี 59 เผยการที่สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10.10% นั้น เพราะเห็นการขยายตัวที่ดีในอนาคต


นายวิจิตร เตชะเกษม ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มรายได้ในปี 59-60 คาดว่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจด้านการแพทย์ภายใต้ บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด(KTMS) เพิ่มขึ้นเป็น 30-40%

โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตเปิดคลีนิกเวชกรรมเฉพาะทางด้านไตเทียม เริ่มสาขาแรกปลายปีนี้ และในปี 59 อีก 3 สาขา ใช้งบลงทุนราว 50 ล้านบาท/สาขา น่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงต้นปี 59นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมขยายธุรกิจในด้านการจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเข้ามาช่วยขยายฐานรายได้ของบริษัทฯให้มีความเข้มเข็งมากขึ้น

ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทยอมรับว่ากำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรราว 12 ล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่ 383.27 ล้านบาท ถึงแม้ว่าอาจจะเติบโตไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 18-20%

เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อยอดขายช่วงครึ่งปีแรก และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ชะลอกำหนดเปิดให้บริการมาเป็นช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น งานต่างๆที่ล่าช้าในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นจะทยอยรับรู้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังบ้างแต่จะไม่มากนัก และส่วนหนึ่งจะทยอยไปรับรู้ช่วงไตรมาส 1-2/59

อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 รายการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดในช่วงปลายปีนี้  คือ เครื่องบำบัดน้ำบริสุทธิ์ชนิดพิเศษเกรดพรีเมี่ยม บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 เครื่องในปีนี้ รวมถึงเครื่องทำน้ำแข็ง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยบริษัทฯจะเข้าร่วมงานบ้านและสวนแฟร์ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายในช่วงปลายปีนี้

นอกจากนี้ การที่นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10.10% นั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงที่บริษัทเรียกเพิ่มทุน โดยนายสุรพงษ์เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย และมองเห็นถึงอนาคตของธุรกิจว่าจะมีการเติบโต จึงมีความมั่นใจในการเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม

 “ผมยืนยันว่าจะไม่มีการขายบริษัทฯ และตอนนี้เองก็ยังไม่ได้มีดีลควบรวมกิจการ หรืออะไรเกิดขึ้น การที่เค้าเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม ก็เป็นเพราะเห็นการขยายตัวที่ดีในอนาคต และเค้าก็เป็นเพื่อนผมสมัยที่เรียนมหาลัยแล้ว เค้าก็เลยเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม และผมไม่ได้กังวลอะไร เพราะผมถือหุ้นอยู่ถึงกว่า 20%”นายวิจิตร กล่าว

 

Back to top button